Saturday, February 26, 2011

ซื้อรถอย่างปลอดภัย

ซื้อรถอย่างปลอดภัย



วิถีชีวิตคนเมืองอย่างเราๆหลังจากทำงานมาหลายปีอดทนเก็บเงินได้หน่อย เราก็ตัดสินใจซื้อรถสักคันก็หวังจะใช้พาหนะพาไปโน่นนี่ให้งานของเราง่ายขึ้น ใครจะคิดว่าอุปกรณ์ราคาแพงชิ้นนี้จะนำพาปัญหามาให้เราไม่น้อย ลองนึกภาพรถที่เราขับออกถนนก็เหมือนกับเราพกเงินติดตัวไปด้วยจำนวนไม่น้อย ลองนึกภาพรถที่เราขับออกทางหลวงก็เหมือนนางกวักคอยตะโกนบอกใครต่อใครว่าเรามีเงิน แถมคอยกวักเรียกคนร้ายให้มาเล่นงานเรา ต่อไปนี้จะเป็นคำแนะนำเพื่อให้การมีรถและใช้รถของเรามีความปลอดภัยยิ่งขึ้น


เมื่อจะซื้อรถหากคุณจะหาซื้อรถมือสองไม่ว่าจะเป็นรถเต้นท์หรือรถบ้านที่ประกาศขายทางอินเตอร์เน็ตหรือนิตยสาร ควรยึดหลัก


1. ไม่พกเงินสด บัตรเครดิตหรือบัตร ATM ทุกชนิด เพื่อป้องกันคุณใจอ่อนควักเงินให้เขาไปง่ายๆตามที่เต้นท์รถหรือเจ้าของรถบ้าน (ซึ่ง 80 ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ เป็นรถฝากขายจากเต้นท์รถเหมือนกัน) คอยกระตุ้นรบเร้าคุณ


2. อย่าพกเอกสารที่จำเป็นในการโอนรถไปด้วย ควรเก็บไว้ที่บ้านก่อน เอกสารเหล่านี้เป็นข้อมูลส่วนตัวของคุณ ไม่ควรถือร่อนไปทั่วเสี่ยงกับการถูกฉกไปใช้ประโยชน์ แม้สำเนาบัตรประชาชนใบเดียวก็ทำให้คุณเดือดร้อนได้อย่างไม่น่าเชื่อ


3. อย่าไปคนเดียว คุณควรมีคนไปด้วยอย่างน้อย 2 คน คนแรกเป็นเพื่อนคอยขับรถไปส่งคุณ คุณจะได้ไม่เหนื่อยและคอยทักท้วงเวลาคุณจะรีบร้อนกลับไปเอาเงินให้เขาเพราะถูกใจมากหรือเจ้าของรถรุกเร้าจะรีบขายด้วยการเสนอเงื่อนไขพิเศษต่างๆ อีกคนที่ขาดไม่ได้ คือ “ช่างดูรถ” ซึ่งอาจเป็นช่างซ่อมรถที่คุณคุ้นเคยหรือช่างที่รับจ้างดูรถมือสองโดยเฉพาะ ซึ่งประกาศรับงานทางอินเตอร์เน็ตหรือหนังสือรถคอลัมน์ประกาศขายรถนั่นแหละ คนเหล่านี้อยู่ในแวดวงรถมือสองมานานสามารถจับผิดรถย้อมแมวได้ดีกว่าเรา (แต่โดยมารยาทเขาจะไม่พูดต่อหน้าเจ้าของรถ) คุณจ่ายเงินเพิ่มอีกหน่อย แลกกับการมีมืออาชีพมาช่วยดูรถที่คุณจะซื้ออย่างละเอียด ขณะที่คุณเจรจาต่อรองหรือฟังคนขายพูดไปเรื่อยๆ คำแนะนำของเขา (ซื้อ, ไม่ซื้อ, คุ้ม, ไม่คุ้ม, ต้องซ่อม... เป็นเงินเท่าไร) จะคุ้มค่ากับเงินค่าจ้างแน่นอน


4. อย่าดูรถกลางคืน หากผู้ขายอ้างว่า กลางวันไม่ว่าง, เสาร์ – อาทิตย์ ก็ไม่ว่าง ให้มาดูรถกลางคืนเท่านั้น ความมืดปิดบังข้อบกพร่องและลดทอนความละเอียดรอบคอบของคุณได้ดี คุณอาจต้องใช้ไฟส่องดูเครื่องยนต์หรือช่วงล่าง ซึ่งมีโอกาสผลาดได้มาก


5. อย่ารีบตัดสินใจ ถ้าไม่ได้ลองขับ รถภายนอกจะดีอย่างไรก็ยังเชื่อไม่ได้จนกว่าจะได้ลองขับดู คุณควรทดลองขับรถดูด้วยตัวเองหรือให้ช่างที่ไปด้วยทดลองขับดู (เจ้าของรถจะนั่งไปด้วยก็ได้) ช่างดูรถฟังออกถ้ามีเสียงผิดปกติจากช่วงล่างและเครื่องยนต์


6. ขอตรวจเอกสารประจำรถรวมทั่งเอกสารที่จำเป็นในการโอนให้ละเอียดมองหาความผิดปกติใดๆในเอกสาร เช่น รถอายุ 10 ปี แต่สมุดทะเบียนรถใหม่เอี่ยม ชื่อเจ้าของรถไม่ตรงกับคนที่ขับรถมาให้คุณดู ตัวเลขที่เครื่องยนตร์และตัวถังไม่ตรงกับเอกสารหรือมีรอยขูดขีด ไม่ชัดเจน ฯลฯ


7. อย่างด่วนตัดสินใจจนกว่าจะได้ดูรถคันอื่นๆที่ประกาศในช่วงเดียวกัน คุณอาจนัดดูทุกคันในวันเดียวโดยเหลื่อมเวลาเผื่อเดินทาง อย่างนี้คุณจะได้มีทางเลือกหลายทาง การจ้างช่างดูรถเหมาทั้งวันจะทำให้คุณประหยัดได้หลายสตางค์


หลังการดูรถทุกคันแล้วคุณค่อยพาเพื่อนและช่างไปเลี้ยงอาหารสักมื้อ ใช้เวลาในการประมวลผล ดูราคา เปรียบเทียบสภาพรถอย่างยุติธรรมรวมทั้งคำแนะนำจากช่างดูรถมาประกอบการตัดสินใจด้วย เมื่อเห็นพ้องต้องกันแล้วคุณค่อยตัดสินใจโทรไปต่อรองราคา นัดผู้ขาย แล้วค่อยเตรียมเอกสารไปโอนรถ อย่าผิดหวังถ้าต้องลงความเห็นว่าไม่ควรซื้อคันไหนเลย รถราคาไม่ใช่ถูกๆคุณไม่ควรตัดใจซื้อเพียงเพื่อให้มันจบๆไปแล้วต้องทนใช้มันทั้งๆที่มีข้อคลางแคลงใจอยู่ มีสิ่งที่คู่ควรกับคุณแน่ เพียงคุณอดทนหน่อยและค่อยๆหาอย่างใจเย็น เชื่อในสัญชาติญาณของคุณเองดีที่สุด


เรียบเรียงโดย Snap shot

Saturday, February 19, 2011

Self-defense with / without a Knife Training

Self-defense with / without a Knife Training



Mr. Jerome ซึ่งเป็นครูฝึกเทควันโด (สอนอยู่ประเทศจีน) ได้มีโอกาสมารับการฝึกการป้องกันตัวด้วยมือเปล่าและอาวุธมีดเป็นการส่วนตัวกับครูฝึกของ Thai Self-defense


Mr. Jerome มีทักษะทางศิลปะการต่อสู้ (Martial Arts) มาก่อนไม่ว่าจะเป็นเทควันโดสายดำ ฮับกีโดสายดำ และยังเรียนศาตร์อื่นๆอีกมาก อาทิเช่น มวยไทย MMA BJJ เป็นต้น ทำให้การฝึกฝนเป็นไปได้อย่างราบรื่น


การป้องกันตัว (Self-defense) นั้นเรียนรู้ได้รวดเร็ว ไม่จำเป็นจะต้องมีร่างกายใหญ่โต มีกล้ามเป็นมัดๆ หรือมีทักษะทางศิลปะการต่อสู้มาก่อนก็สามารถฝึกฝนกันได้ ดังนั้นการป้องกันตัวจึงเหมาะกับประชาชนทั่วไป ถึงแม้ผู้ที่มีทักษะทางศิลปะการต่อสู้มาก่อนอาจได้เปรียบในการฝึกฝนอยู่บ้างแต่ก็ไม่ต่างกันมากนัก


ประชาชนทั่วไปสามารถหาศูนย์ฝึกอบรมใกล้บ้านซึ่งสอนการป้องกันตัว (Self-defense) เพื่อเข้าฝึกอบรมเพิ่มทักษะในการเอาตัวรอดออกจากสถานการณ์ร้ายแรงได้


“สติ ความรู้ ทักษะ” เป็นสามส่วนสำคัญในการป้องกันตัว


Batman

Thursday, February 17, 2011

Target Area of Baton Strike

Target Area of Baton Strike



ดิ้ว หรือ Baton จัดอยู่ในอาวุธที่มีอันตรายถึงชีวิตน้อย (Less Lethal Weapons) ผู้ใช้นั้นจำเป็นอย่างยิ่งจะต้องรู้ว่าควรตีหรือกระแทก ณ บริเวณส่วนใดของร่างกายคนร้ายเพื่อการหยุดยั้งเท่านั้น หลีกเลี่ยงบริเวณซึ่งอาจทำอันตรายร้ายแรงต่อร่างกาย


ได้มีการจัดแบ่งพื้นที่หรือบริเวณของร่างกายมนุษย์ ซึ่งเป็นเป้าหมายของการตีหรือกระแทกด้วยดิ้วเอาไว้ดังนี้


- สีเขียว บริเวณนี้จะทำให้เกิดการบาดเจ็บไม่รุนแรงนัก และมักเกิดความเสียหายต่ออวัยวะเพียงชั่วคราวเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามยังอาจมีการบาดเจ็บรุนแรงและถาวรได้ในบางราย


- สีเหลือง บริเวณนี้อาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บได้ตั้งแต่ปานกลางจนถึงรุนแรง ความเสียหายต่ออวัยวะอาจยาวนานกว่าบริเวณสีเขียวแต่ส่วนใหญ่ก็ยังเป็นการชั่วคราว (ยกเว้นบางราย)


- สีแดง เป็นบริเวณที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้สูงสุด ซึ่งอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บรุนแรงอย่างถาวร หมดสติ พิการหรือแม้แต่เสียชีวิตก็ได้


การใช้ Baton เพื่อการโจมตี (Strike) ในเชิงป้องกันตัวจึงควรหลีกเลี่ยงบริเวณสีแดง แต่หากใช้เพื่อการป้องกันการโจมตี (Blocking) หรือควบคุมคนร้าย (Restraint skills) ทุกบริเวณของร่างกายถือเป็นสีเขียวยกเว้น ศีรษะ คอและกระดูกสันหลัง ควรหลีกเลี่ยง


การจัดแบ่งบริเวณร่างกายด้วยแถบสีนั้นอาจมีความแตกต่างกันบ้างเล็กน้อยตามแต่ละสถาบันที่กำหนดขึ้น แต่ก็คล้ายกันเป็นส่วนใหญ่โดยหลักสำคัญนั้นควรหลีกเลี่ยงการโจมตีไปที่ ศีรษะ คอ ลิ้นปี่ แนวกระดูกสันหลัง ไต


การใช้กำลังเข้าแก้ไขปัญหาขอให้เป็นทางเลือกสุดท้าย ผู้ที่จะใช้ Baton ก็ควรมีความรู้และทักษะที่ถูกต้อง ใช้ด้วย สติ เหตุและผลที่เหมาะสม


สุดท้ายนี้ขอให้ตั้ง “สติ” ทุกครั้งเมื่อเผชิญเหตุ และขอให้ “พลังจงอยู่กับท่าน”

เรียบเรียงโดย Batman

Friday, February 11, 2011

Finger Lock for Self-defense

Finger Lock for Self-defense



ในการป้องกันตัวจากภัยคุกคามด้วยกำลังนั้น มีหลายวิธีที่สามารถใช้ได้หนึ่งในนั้นก็คือ การควบคุมนิ้วมือของคนร้าย ซึ่งศาสตร์นี้มีอยู่ในศิลปะการต่อสู้ทั่วโลกโดยเฉพาะในเอเชีย การควบคุมนิ้วมือของคนร้ายสามารถทำให้เราหลุดพ้นออกจากสถานการณ์ร้ายได้และเป็นการใช้แรงที่น้อยกว่าเพื่อสร้างความได้เปรียบ ผู้หญิงตัวเล็กๆก็สามารถเอาตัวรอดออกจากผู้ชายตัวโตได้


ศิลปะการต่อสู้และการป้องกันตัวนั้นเป็นการเรียนรู้และอาศัยข้อจำกัดของร่างกายมนุษย์มาสร้างความได้เปรียบให้กับตนเอง ข้อต่อต่างๆของร่างกายถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เคลื่อนไหวได้ในทิศทางที่กำหนด หากมีการฝืนให้ข้อต่อเหล่านี้เคลื่อนที่ไปในทิศทางตรงข้ามก็จะสร้างความเจ็บปวดอย่างมาก ดังนั้นในหลายๆวิชาจึงมีการจับ หัก ข้อต่อต่างๆไม่ว่าจะเป็นข้อเล็กๆ เช่น นิ้วมือ หรือ ข้อใหญ่ๆ เช่น ข้อมือ ข้อศอก หัวไหล่ หัวเข่า ข้อเท้า เป็นต้น


การควบคุมข้อเล็กๆ เช่น ข้อนิ้วมือของคนร้าย จะใช้แรงน้อยกว่า ทำได้ง่ายและเรียนรู้ได้เร็ว อาศัยนิ้วมือหรือส่วนของร่างกายที่มีกำลังมากกว่าของเราควบคุมนิ้วมือที่อ่อนแอของคนร้ายแล้วหักไปในทิศทางที่ข้อนิ้วนั้นไม่ได้ถูกออกแบบให้เคลื่อนไหวไปเพื่อสร้างความเจ็บปวดอย่างมาก จากนั้นรีบหนีออกจากสถานการณ์ร้ายโดยเร็ว


การควบคุมข้อนิ้วมือของคนร้ายเป็นวิธีหนึ่งซึ่งควรเรียนรู้และสามารถนำไปใช้ในการเอาตัวรอดจากภัยคุกคามร้ายแรงได้


สุดท้ายนี้ขอให้ตั้ง “สติ” ทุกครั้งเมื่อเผชิญเหตุ และขอให้ “พลังจงอยู่กับท่าน”


เรียบเรียงโดย Batman

Thursday, February 3, 2011

Karambit Gripping

Karambit Gripping



มีด Karambit เป็นมีดที่นิยมมากในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซียและภาคใต้ของไทย เป็นมีดต่อสู้ระยะประชิดซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวทั้งรูปร่างและการใช้งาน


การถือมีด Karambit มี 4 รูปแบบหลักๆ คือ


- Reverse grip: มีดชนิดนี้ถูกออกแบบให้ถือแบบ Reverse grip เป็นหลัก การใส่นิ้วชี้เข้าไปในห่วงจะช่วยให้ยากแก่การถูกปลดอาวุธหรืออาวุธตกหล่นโดยไม่ตั้งใจ นอกจากนั้นยังช่วยในการเปลี่ยนผ่านไปยัง Extended grip ทำได้ง่ายอีกด้วยโดยการหมุนควงมีด (Knife spinning)


- Extended grip: เป็นการยืดมีดออกไปเพื่อเพิ่มระยะโจมตีของมีด หากเป็นมีดสองคมจะทำให้ Extended grip นี้มีความยืดหยุ่นในการใช้งานมากขึ้น การเปลี่ยนจาก Reverse grip ไปเป็น Extended grip นั้นทำได้สองวิธี โดยการหมุนมีดทั้งตามและทวนเข็มนาฬิกาแล้วใช้นิ้วโป้งในการควบคุมห้วงของมีดเพื่อลดโอกาสที่มีดจะหลุดจากมือ ในการเปลี่ยนกลับมาเป็น Reverse grip นั้นก็มักจะควงมีดหมุนเพียงเล็กน้อยเท่าที่จำเป็นเท่านั้น


-          Forward grip: เป็นการถือมีดแบบมีดใบตรงปกติทั่วไป แต่สอดนิ้วก้อยเข้าห่วง การใช้งานก็ไม่แตกต่างไปจากมีดใบตรงทั่วไปมากนัก

-          Inverted grip: เป็นการหันมีดเอาส่วนโค้งหันเข้าหาตัว ทำให้มีลักษณะคล้ายกรงเล็บเสือ ใช้งานในลักษณะเกี่ยวกุม (Hook)

โดยทั่วไปช่วงการเปลี่ยนรูปแบบการถือมีดจะเป็นช่วงที่อ่อนแอหรือหละหลวมที่สุด หากถูกโจมตีหรือปัดมีดในขณะนั้นอาจทำให้มีดหลุดมือได้ง่าย ดังนั้นการเปลี่ยน Grip จึงควรทำเมื่อจำเป็นและทำอย่างรวดเร็วเท่านั้น


ในกรณีของ Karambit การเปลี่ยน Grip จะทำให้การใช้มีดลักษณะนี้มีความไหลลื่นมากขึ้นและเพิ่มประสิทธิภาพของมีดออกไปได้อย่างมากมาย


การฝึกควงมีด Karambit ที่มีลักษณะซับซ้อนนั้นอาจดูสวยงาม แต่ในการต่อสู้จริงด้วยมีดชนิดนี้คงไม่ได้ใช้การควงเช่นนั้น แต่การฝึกควงมีดก็มีประโยชน์ในแง่ ทำให้เราคุ้นเคยกับมีดซึ่งมีลักษณะพิเศษแบบนี้ สามารถเปลี่ยน Grip มีดได้อย่างรวดเร็วและไหลลื่น


ส่วนการถือมีดแบบ Forward grip แบบมีดใบตรงทั่วไปโดยสอดนิ้วก้อยเข้าห่วงนั้น “ไม่นิยมและไม่แนะนำ” เมื่อจะเปลี่ยนการถือมีดมาเป็น Reverse grip จะทำได้ลำบาก เป็นการลดทอนประสิทธิภาพของมีดชนิดนี้ลงอย่างมาก แต่หากสถานการณ์จำเป็นให้ต้องใช้แบบ Forward grip ก็คงใช้ไปก่อนได้ไม่ต่างจากมีดใบตรงทั่วไป


การใช้มีด Karambit นอกจากมีทิศทางการใช้เหมือนมีดซึ่งจับแบบ Reverse grip ทั่วไปแล้ว ยังมีการใช้ซึ่งมีลักษณะเฉพาะของมีดชนิดนี้อีกด้วย ทำให้ Karambit เป็นมีดต่อสู้ระยะประชิดที่มีประสิทธิภาพอย่างมาก จนบางคนให้สมยานามมีดชนิดนี้ว่าเป็น King of Combat Knife ทีเดียว




เรียนรู้มีด เรียนรู้ตัวเอง เรียนรู้ที่จะถ่อมตน


สุดท้ายนี้ทุกครั้งที่จับมีดขอให้มี “สติ”


เรียบเรียงโดย Batman

Tuesday, February 1, 2011

Survey Knife Training Trip

Survey Knife Training Trip



Thai self-defense ได้จัดเตรียมที่จะเดินทางสำรวจเส้นทางท่องเที่ยวและฝึกอบรมการป้องกันตัวด้วยอาวุธมีด โดยถือโอกาสนี้ไปรับการฝึกในรูปแบบของ AMOK! กับ Mr. Randy Hodges และ ครู นก ที่บ้านพักของทั้งสองท่าน จ. อุดรธานี ในวันที่ 16 ถึง 17 มีนาคม 2554 และจะไปสำรวจแหล่งท่องเที่ยวจังหวัดเลยต่อในวันที่ 18 ถึง 19 มีนาคม 2554


โดยจะฝึกกันวันละสองรอบๆละ 2 ช.ม.(เช้า-บ่าย หรือ เช้า-เย็น) โดยทาง Mr. Randy มีมีดซ้อมให้ใช้ แต่ผู้รับการฝึกควรเตรียมแว่นตานิรภัย, Arm guard (ถ้ามี) ไปเอง


ผู้รับการฝึกจะได้เรียนรู้หลักการ “การป้องกันตัวด้วยมือเปล่าและอาวุธมีดสมัยใหม่ตามแนวทางของ AMOK!” ซึ่ง AMOK! เป็นระบบมีดต่อสู้ที่มีการปรับปรุงให้เหมาะสมกับสภาพสังคมปัจจุบัน อีกทั้งจะได้รับการดูแลการฝึกอย่างใกล้ชิดและเป็นกันเองจาก Qualified AMOK! instructors โดยตรง (ในประเทศไทยมีเพียง 2 ท่านนี้เท่านั้น)


ค่าฝึกอบรม 600 บาท/ช.ม. (ไม่รวมค่าเดินทาง, ค่าที่พัก, ค่าอาหาร) สำหรับผู้ซึ่งไม่ชำนาญภาษาอังกฤษก็ไม่ต้องกังวลเพราะครู นก จะช่วยแปลและดูแลการฝึกอบรมด้วย


การเดินทางไปนั้นผู้รับการฝึกสามารถเดินทางโดยเครื่องบิน (ไปเที่ยวเช้าวันที่ 16 และกลับ 17 มีนาคมเที่ยวเย็นของสายการบิน Air Asia ใช้เวลาประมาณ 1 ช.ม.), ไปทางรถไฟ (ต้องออกเดินทางวันที่ 15 มีนาคม ใช้เวลาประมาณ 12 ช.ม.), รถยนต์นั่งส่วนบุคคล (ใช้เวลาประมาณ 6 ช.ม.) โดย Mr. Randy จะมารับที่สนามบินหรือสถานีรถไฟจังหวัดอุดรธานี


ผู้สนใจเฉพาะการฝึกอบรมการป้องกันตัวด้วยอาวุธมีด AMOK! เท่านั้น สามารถเดินทางกลับในวันที่ 17 มีนาคม 2554 หลังฝึกอบรมเสร็จได้ (หรือต้องการฝึกอบรมต่อก็สามารถทำได้โดยแจ้งครู นก) แต่หากสนใจที่จะท่องเที่ยวพักผ่อนต่อที่จังหวัดเลยก็จะมีรถตู้มารับและจะกลับมาถึงสนามบินจังหวัดอุดรธานีในเย็นวันที่ 19 มีนาคม 2554


การเรียนรู้ระบบมีดหลายๆรูปแบบเป็นการเปิดวิสัยทัศน์ให้กว้างไกล เพราะแต่ละระบบจะมีจุดเด่นและจุดด้อยของตนเอง เป็นการเติมเต็มความรู้ในส่วนที่ขาดและเน้นยำในส่วนที่มีอยู่แล้ว อีกทั้งเป็นการรู้จักตัวเองมากขึ้นว่ามีข้อดี-ข้อบกพร่องอะไรอีกบ้าง ทั้งหมดนี้จะนำไปสู่การปรับปรุงให้มีความรู้และทักษะที่ดีขึ้น


สนใจติดต่อได้ที่ Batman โทร. 081-666-0266 เพื่อสำรองที่พัก (Mr. Randy จะจัดหาที่พักให้ เป็นโรงแรม 3 ดาว อยู่ใกล้สถานที่ฝึก)


รายละเอียดและความคืบหน้าจะแจ้งให้ทราบเป็นระยะๆ
 

Samsung LCD televisions