Friday, July 30, 2010

Fundamental Self-defense

Fundamental Self-defense



Thai self-defense กำหนดสัญลักษณ์รูปสามเหลี่ยม สามระดับ เพื่อบ่งบอกถึงพื้นฐานการป้องกันตัว (Fundamental Self-defense) ที่สำคัญ 3 ประการ คือ


สติ (Consciousness) เป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุด ถ้าเรามี “สติ” ตลอดเวลา ไม่เหม่อลอย รู้ว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ มีความตระหนักรู้สิ่งรอบตัว (Awareness) รับรู้ได้ถึงสัญญาณความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นทำให้สามารถหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ร้ายได้ก่อนที่จะมาถึง มีความพร้อมที่จะเผชิญเหตุร้าย เชื่อในสัญชาติญาณด้านความปลอดภัยของตน ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท มีจิตสำนึกของการป้องกันตัว (Self-defense Mind)


ในขณะเผชิญเหตุหากมี “สติ” ก็จะสามารถคิดหาวิธีที่บรรเทาความเสียหาย หาทางเอาตัวรอดด้วยวิธีการต่างๆ ผ่อนหนักให้เป็นเบา


หลังเผชิญเหตุก็สามารถเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้น เรียนรู้ความผิดพลาดและหาวิธีป้องกัน สามารถลดผลกระทบระยะยาวได้


ความรู้ (Knowledge) ในการป้องกันตัวนั้นมีความสำคัญยิ่ง โดยเน้นที่การป้องกัน “ก่อน” เกิดภัยคุกคาม เรียนรู้ที่จะระมัดระวังตัว รู้ว่าทำอย่างไรไม่ให้เราตกเป็นเป้าหมายของคนร้าย รู้วิธีการให้เกิดความปลอดภัยภายในบ้าน ที่ทำงาน การเดินทาง รู้จักสังเกตุสิ่งแวดล้อม เรียนรู้การนำสิ่งต่างๆรอบตัวมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการเอาตัวรอด


ความรู้ในขณะเผชิญเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการใช้หรือไม่ใช้กำลังในการแก้ไขสถานการณ์ มีความรู้ที่จะทำให้ภัยคุกคามนั้นผ่านพ้นไปได้ด้วยดี หากต้องใช้กำลังก็ต้องมีความรู้ในการป้องกันตัวด้วยมือเปล่า เมื่อมีอาวุธติดตัว เช่น มีด ดิ้ว (Baton) ก็ต้องมีความรู้ว่าจะใช้มันอย่างไร รู้ข้อดีและข้อจำกัด มีความรู้ในการนำสิ่งของรอบตัวมาปรับใช้ให้เป็นอาวุธ (Improvised weapons) เพื่อสร้างความได้เปรียบเหนือคนร้าย มีความรู้หลายด้านเพื่อให้สามารถรับสถานการณ์เลวร้ายได้หลายรู้แบบ รู้ถึงความแตกต่างระหว่างศิลปะการต่อสู้ (Martial Arts) และ การป้องกันตัว (Self-defense) โดยเฉพาะความรู้ในการป้องกันตัวแบบผสมผสาน รู้ถึงความแตกต่างระหว่างการต่อสู้ด้วยมีด (Knife fighting) และ การป้องกันตัวด้วยมีด (Self-defense with a knife)


เมื่อเหตุการณ์ผ่านพ้นไปก็มีความรู้ที่จะบรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้นและหาทางป้องกันในอนาคต ใฝ่หาความรู้เพิ่มเติม และส่งเสริมการให้ความรู้เพื่อการป้องกันตัวแก่บุคคลอื่น


ทักษะ (Skill) การฝึกให้มี “สติ” ตลอดเวลา มี Self-defense mind นั้นจำเป็นต้องฝึกฝนบ่อยๆ จนสามารถทำได้อย่างเป็นธรรมชาติ และความรู้ในการป้องกันตัวหลายด้านก็จำเป็นต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้เกิดทักษะความชำนาญ เรียนรู้ตนเองว่าสามารถทำอะไรได้และทำอะไรไม่ได้ รู้ข้อจำกัดของตนเอง การมีทักษะที่หลากหลายเปรียบเสมือนมีเครื่องมือให้เราเลือกใช้ได้มาก สามารถนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์เพื่อเพิ่มโอกาสเอาตัวรอดจากภัยคุกคามได้ รู้ว่าทักษะใด “ต้องรู้ ควรรู้ น่ารู้”

สติ-ความรู้-ทักษะ จึงเป็นสามประสานที่สำคัญในการป้องกันตัว (Self-defense) การเรียนรู้การป้องกันตัวนั้นจึงต้องศึกษาหลักสามประการนี้เสมอ หากเราสนใจเพียงการใช้กำลัง เช่น การป้องกันตัวด้วยมือเปล่าหรือการใช้อาวุธมีดแต่เพียงอย่างเดียว ก็เท่ากับว่าเรามีความรู้เพียงเสี้ยวหนึ่งของการป้องกันตัวเท่านั้น

การใช้กำลังเป็นเพียงส่วนน้อยของการป้องกันตัว แต่เป็นส่วนใหญ่ของศิลปะการต่อสู้


Thai self-defense เป็นแหล่งให้ความรู้ในการป้องกันตัวโดยอาศัยหลัก สติ-ความรู้-ทักษะ มุ่งเน้นการป้องกันตัวแบบผสมผสานและการใช้อาวุธมีดเพื่อป้องกันตัว โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นประโยชน์แก่สาธารณชนในการเอาตัวรอดจากภัยคุกคามในสังคมภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย


เรียบเรียงโดย Batman

Friday, July 23, 2010

เลือกทำสิ่งที่ถูกต้อง..... เถอะ

เลือกทำสิ่งที่ถูกต้อง..... เถอะ



อาจารย์ของผมท่านหนึ่งเคยเล่าให้ฟังว่า วันก่อนศิษย์พี่ของผมมาถามอาจารย์ก่อนที่หล่อนจะไปทำงานต่างประเทศ ศิษย์หญิงคนนี้เรียนกับท่านมาหลายปี ท่านกล่าวกับศิษย์หญิงคนนั้นว่า “เธอเป็นศิษย์หญิงที่เก่งมากคนหนึ่ง.....”


หล่อนถามอาจารย์ว่า “ฉันเก่งพอจะฆ่าคนร้ายที่เข้ามาทำร้ายได้หรือไม่?”


อาจาย์ของผมตกใจมาก รู้สึกว่าหลายปีที่ผ่านมาศิษย์คนนี้ไม่ได้เรียนรู้หลักการอะไรเลย จึงบอกหล่อนไปว่า “จะฆ่าคนอาศัยเพียงร่างกายที่แข็งแรง กับจิตใจที่โกรธแค้นก็ทำได้แล้ว สิ่งที่เขาสอน คือ การใช้มีดเพื่อป้องกันตัว ไม่ใช่เพื่อการฆ่าคน


อาจารย์หันหน้ามาทางผม แล้วกล่าวว่า “คุณเข้าใจใช่ไหม?” ผมพยักหน้ารับ


อาจารย์พร่ำสอนว่า “อย่าบุกเข้าแทงคู่ต่อสู้อย่างจงใจ เพราะขณะที่คุณแทงถูกตัวเขา เขาก็อยู่ในระยะที่แทงถึงตัวคุณเช่นกัน” ถึงวันนี้เวลาผ่านไปหลายปี ผมยังพยายามถ่ายทอดสิ่งที่อาจารย์สอนให้กับทุกคนทุกครั้งที่มีโอกาสผ่านวิถีแห่ง Self-defense


จู่โจมโหมรุกไม่ปลอดภัย          แปรเปลี่ยนกลับกลายไม่มั่นคง


พลิกแพลงซับซ้อนไม่แม่นยำ   หนักหน่วงลึกล้ำไม่รวดเร็ว


ผมให้ความสำคัญกับการป้องกันตัวเป็นอันดับแรก เพราะเราเชื่อว่าการที่ใครสักคนจู่โจมเล่นงานคนอื่นไม่ว่าจะเชี่ยวชาญแค่ไหนก็จะเผยจุดอ่อนให้ถูกตอบโต้กลับได้เสมอ ยกตัวอย่างเช่น นักมวยที่ยกสองแขนตั้งการ์ดป้องกันหน้า, อก, ท้องอย่างรัดกุม แต่ทันทีที่เขาออกอาวุธ ไม่ว่าจะเป็นหมัด เท้า เข่า ศอก จะมีส่วนของร่างกายที่ขาดการป้องกันทันที คู่ต่อสู้จะอาศัยจังหวะนี้จู่โจมจุดอ่อนเหล่านั้น การรุกเข้าหาเพื่อสยบคนร้ายให้อยู่หมัด หากคุณต้องบาดเจ็บแม้เพียงเล็กน้อยก็เป็นเรื่องไม่คุ้มค่าแล้ว แนวคิดที่ว่า วิธีเดียวที่จะหยุดยั้งการคุกคามจากคนร้าย คือ ต้องฆ่ามัน เป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง เพราะการรุกไล่เข้าประชิดตัวเพื่อฟาดฟันทิ่มแทงหรือแย่งอาวุธหวังจะเล่นงานคนร้ายกลับ อาจยิ่งกระตุ้นให้เขากร้าวร้าวมากขึ้นส่งผลให้สถานการณ์แย่ลง


อีกประการหนึ่งซึ่งคนส่วนใหญ่มักลืม คือ ความรับผิดชอบทางกฎหมายที่ตามมา เวลาเราดูหนัง ดูละครหรือเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ พระเอกเป็นประชาชนธรรมดาชักปืนยิงคนร้ายที่เข้ามาฉุดคร่านางเอก คนร้ายล้มตายเป็นใบไม้ร่วง นางเอกชักมีดเชือดคอคนร้ายอีก 2 คน ทั้งสองวิ่งขึ้นรถขับหนีไปอย่างเร้าใจ แต่ในชีวิตจริงมันไม่สนุกเช่นนั้นหรอก เราไม่อาจหลีกเลี่ยงคดีอาญาได้ ต้องถูกตรวจสอบตามกฎหมาย ถูกคุมตัวไปโรงพัก ถูกแจ้งข้อหา ต้องประกันตัว ขึ้นโรงขึ้นศาล ฯลฯ อีกทั้งต้องเสียงานเสียการ เสียเงินทอง ฉะนั้นอย่าปล่อยให้ภาพในหนัง ในละครมันหลอกคุณได้ กฎหมายนั้นคุ้มครองทั้งคุณและคนร้ายด้วย


ประการที่สามที่ไม่อาจมองข้าม คือ ผลกระทบต่อจิตใจของตัวคุณเอง ในประเทศที่เจริญแล้วแม้ตำรวจซึ่งปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายจนเป็นเหตุให้คนร้ายถึงกับเสียชีวิต ก็ต้องทำตามระเบียบคือ ขึ้นให้การต่อศาลยืนยันว่า ดำเนินการทุกอย่างโดยถูกต้อง ไม่ได้ประมาทหรือทำเกินกว่าเหตุ ไม่ได้ละเลยขั้นตอนต่างๆที่กฎหมายกำหนดไว้เพื่อความปลอดภัยและสิทธิของคนร้าย ฯลฯ และต้องพบนักจิตวิทยา เพื่อฟื้นฟูสภาพจิตใจ เพราะมนุษย์ทุกคนที่เกิดและอาศัยในประเทศที่เจริญย่อมต้องได้รับการอบรมให้เครพและรักถนอมต่อชีวิตของผู้อื่นเหมือนกับชีวิตตนเอง ดังนั้นใครก็ตามที่ทำให้ชีวิตผู้อื่นดับสูญไป แม้จะชอบด้วยกฎหมายก็ไม่อาจเลี่ยงที่จะมีผลกระทบต่อจิตใจ จนอาจนำไปสู่การใช้ชีวิตประจำวันหรือการทำงานที่บกพร่องได้


ผมขอยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาแนะนำให้คุณถอดใจยอมแพ้คนร้าย ผมพยายามชี้ให้คุณเห็นและชั่งน้ำหนักผลดี-ผลเสีย ถ้าคนร้ายต้องการเพียงทรัพย์สินเงินทอง ก็ตัดใจให้ไปเถิด อย่ายื้อแย่ง เหนี่ยวรั้งไว้จนคนร้ายหันมาทำร้ายเรา เพราะไม่มีเงินจำนวนไหนมีค่ากว่าชีวิตของเรา แต่หากคนร้ายแสดงเจตนาเป็นภัยคุกคามต่อชีวิต เช่น ได้เงินไปแล้วแต่ยังพยายามฉุดรั้งหรือรุกไล่เข้ามาพร้อมอาวุธ คุณย่อมมีสิทธิที่จะป้องกันตัวเองอย่างเต็มที่ แยกแยะให้ได้ว่า อะไรเป็นสิ่งที่คุณ “อยากทำ” อะไรเป็นสิ่งที่คุณ “ควรทำ” และอะไรเป็นสิ่งที่คุณ “ต้องทำ” ไม่ว่าจะเลือกทำอะไร ก็ถูกต้องทั้งนั้นเพื่อป้องกันตัวคุณให้รอดพ้นจากภัยพาลและผลกระทบที่จะตามมา


เรียบเรียงโดย Snap shot

Saturday, July 17, 2010

Targets of self-defense by a knife

Targets of self-defense by a knife



ในการป้องกันตัวนั้นไม่ว่าเราจะใช้หรือไม่ใช้อาวุธ จุดประสงค์หลักคือ เอาตัวเรารอดออกมาจากภัยคุกคามอย่างปลอดภัยหรือบาดเจ็บให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในการฝึกสอนของเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะสอนวิธียิงปืนเพื่อ “หยุดยั้ง” คนร้ายมากกว่าที่จะ “สังหาร” คนร้าย ซึ่งหลักการนี้ก็ใช้ในการป้องกันตัวด้วยเช่นกัน


การหยุดยั้งคนร้ายนั้น หมายความว่า คนร้ายหมดความสามารถที่จะเป็นภัยคุกคามได้อีกต่อไป ซึ่งคนร้ายนั้นไม่จำเป็นจะต้องเสียชีวิตเสมอไป เช่น กระสุนปืนขนาด .45 นิ้วเมื่อยิงถูกคนร้ายบริเวณลำตัวแล้วสามารถทำให้คนร้ายทรุดลงกับพื้น (คนร้ายอาจไม่ได้เสียชีวิตทันที) หมดสภาพที่จะเป็นภัยคุกคามได้เร็วกว่ากระสุนปืนขนาด .38 นิ้ว นั่นหมายความว่า กระสุนปืนขนาด .45 นิ้วมีอำนาจหยุดยั้ง (Stopping power) ดีกว่ากระสุนปืนขนาด .38 นิ้ว

ในขณะที่การสังหารด้วยอาวุธบางครั้งคนร้ายอาจถูกอาวุธของเราแล้วถึงแม้จะเสียชีวิตอย่างแน่นอน แต่เขาอาจยังมีแรงมากพอที่จะทำอันตรายเราต่อได้จนบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิตก่อนที่เขาจะล้มลงสิ้นใจ


ในการป้องกันตัวโดยสุจริตชนนั้นกฎหมายกำหนดไว้ว่าจะต้องกระทำโดยไม่ให้รุนแรงเกินกว่าเหตุ ซึ่งต้องขึ้นกับสภาพการณ์ของภัยคุกคามขณะนั้น หากเราใช้วิธีการป้องกันตัวโดยไม่มุ่งหวังเอาชีวิตของคนร้ายแต่เพียงอย่างเดียว ในแง่ของกฎหมายก็ยังพอมีทางออกให้ได้ ดังนั้นความสามารถในการหยุดยั้งคนร้ายจึงมีความสำคัญมากกว่าความสามารถในการสังหารคนร้าย

เป้าหมายการโจมตีด้วยมีดซึ่งหวังผลในการหยุดยั้งคนร้ายนั้น จะมุ่งเน้นที่แขนหรือมือข้างที่ถืออาวุธ ทำให้ไม่สามารถถืออาวุธต่อไปได้หรือลดความสามารถ (Ability) ในการใช้อาวุธในมือลง และขาของคนร้ายทำให้การเคลื่อนที่หรือเคลื่อนไหว (Mobility) ของคนร้ายทำได้ไม่สะดวก เมื่อเราหนีคนร้ายจะไม่สามารถวิ่งไล่ตามเราได้ นอกจากนั้นเมื่อคนร้ายสูญเสีย Ability และ Mobility จะทำให้เราควบคุมสถานการณ์ได้ดีขึ้น


ในความตึงเครียดที่มีสารอะดรีนารีน (Adrenaline) หลั่งออกมาทำให้ร่างกายตื่นตัวสุดขีด มีความทนต่อความเจ็บปวด และมีพละกำลังมากกว่าปกติ การทำให้คนร้ายหมดความสามารถในการเป็นภัยคุกคามจะขึ้นอยู่กับการเล่นงาน Ability และ Mobility ของคนร้ายเป็นสำคัญ ทั้งสองส่วนนี้ผู้ฝึกมีดเพื่อป้องกันตัวควรให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก


สุดท้ายนี้ทุกครั้งที่จับมีดขอให้มี “สติ”


เรียบเรียงโดย Batman

Friday, July 9, 2010

กรมธรรม์กันภัย โครงการ 2 (บ้านปลอดภัย)

กรมธรรม์กันภัย โครงการ 2 (บ้านปลอดภัย)



ในการแบ่งสถานการณ์เสี่ยงต่อภัยคุกคามออกเป็นหลายระดับ โดยมีรหัสสีกำกับ (ดูบทความ States of Awareness เพิ่มเติม) ไม่ว่าสำนักไหนๆก็ยกให้ “บ้าน” เป็นสถานที่ปลอดภัยที่สุด ซึ่งก็ถูกต้องแล้วผู้คนส่วนใหญ่จึงรู้สึกผ่อนคลายเมื่ออยู่ในบ้าน แต่จากสถิติของกรมตำรวจ อาชญากรรมทางเพศ ภัยคุกคามต่อชีวิตและทรัพย์สิน ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในอาคารบ้านเรือนของเรานี่เอง เกิดอะไรขึ้นทำไมข้อมูลทั้งสองจึงขัดแย่งกันเอง เรามาค้นหาความจริงกัน


เจาะลึกลงแต่ละคดี พบว่าคนร้ายส่วนใหญ่ล้วนเป็น “คนนอก” ที่เข้ามาก่อคดีในบ้านของเหยื่อ ซึ่งวางใจใน “ที่มั่น” ของตัวเองจนเผลอปล่อยให้คนร้ายรุกล้ำเข้ามาในบ้านได้ ดังนั้นระบบรหัสสีจึงไม่ผิด ผิดที่เราประมาทเอง Thai self-defense.com จึงขอเสนอกรมธรรม์กันภัย โครงการ 2 เพื่อเป็นแนวทางให้คุณปรับปรุง “ที่มั่น” อันปลอดภัยนี้ให้ปลอดภัยอย่างแท้จริงและตลอดไป


เริ่มจากบริเวณบ้านก่อน ผมเคยแนะนำไว้ในบทความก่อนหน้านี้ถึงวิธีใช้จินตนาการสร้างทักษะ อยากให้คุณลองทำดูอีกครั้ง เลือกวันหยุดสักวันชวนเพื่อนผู้ชายที่ร่างกายแข็งแรงมาที่บ้าน คุณลงกลอนหน้าต่างทุกบาน ล็อกประตูหน้าบ้าน หลังบ้าน ปิดประตูรั่วให้เรียบร้อย คุณใช้จินตนาการสมมุติว่าคุณและเพื่อนเป็นขโมยที่ต้องหาทางเข้าบ้านให้ได้ เหตุที่ผมให้คุณชวนเพื่อนชายที่ร่างกายแข็งแรง เพื่ออาศัยความเห็นของเขาซึ่งเป็นคนนอก ทำให้เขาไม่มีอคติกับบ้านของคุณ เมื่อคุณตั้งโจทย์ให้เขาเป็นขโมยที่ต้องการหาทางเข้าบ้านให้ได้


เนื่องจากเขาแข็งแรงกว่าคุณเขาจึงมองดูระบบความปลอดภัยของบ้านคุณด้วยมุมมองที่แตกต่าง เช่น รั่วบ้านที่คุณปีนไม่ไหว เขาอาจปีนได้สบาย คุณก็จดไว้ว่าต้องเพิ่มเหล็กดัดบนรั่วให้สูงขึ้น กุญแจประตูหน้าที่คุณคิดว่าแข็งแรงเหลือเฟือ เขามองว่าใช้ไขควงงัดทีเดียวก็หลุด คุณก็ต้องเปลี่ยนกุญแจใหม่ให้แข็งแรงขึ้น ระเบียงห้องนอนที่คุณมองจากพื้นรู้สึกสูงสุดเอื้อม เพื่อนคุณอาจเหยียบกระถางบัวเหนี่ยวขอบระเบียงปีนขึ้นไปได้สบาย คุณก็ต้องย้ายกระถางบัวไปทางอื่น หรือลบเหลี่ยมมุมระเบียงอย่าให้มีที่เกาะได้ นอกจากนี้ยังมีอะไรอีกมากมาย ซึ่งอาจทำให้คุณแปลกใจ เช่น ต้นไม้ต้นเล็กๆที่พ่อแม่คุณเริ่มปลูกริมรั่วตอนคุณเกิด ตอนนี้มันโตแผ่กิ่งก้านออกมาให้ขโมยมันเอื้อมมือเข้ามาถอดกลอนประตูหลังได้ง่ายๆ ทุกอย่างที่คุณคิดว่าต้องแก้ไข ต้องรีบจัดการทันทีอย่าผลัดวันประกันพรุ่ง แล้วก็อย่าลังเลที่จะทำเหล็กดัดครอบหน้าต่างหรือเสริมประตูเหล็กหลังประตูไม้บานเดิม อันทำให้บ้านเปลี่ยนสภาพไปจากเดิม แต่สังคมสมัยนี้ก็เปลี่ยนไปมากเมื่อครั้งคุณเริ่มซื้อบ้านหลังนี้เหมือนกัน


ดูนอกบ้านแล้ว ตอนนี้มาดูในบ้านบ้าง ห้องที่ควรปรับปรุงก่อน คือ ห้องนอนของคุณเอง มันเป็นหลุมหลบภัยส่วนตัวที่คุณจะหลับได้สนิทที่สุด ถามเพื่อนคุณว่า ห้องคุณแข็งแรงพอหรือไม่ ถ้าเขาพบจุดบกพร่องตรงไหน คุณควรรีบปรับปรุงเสีย เช่น เพิ่มกลอนประตูอีกชุดสองชุดพร้อมโซ่คล้องที่มั่นคง หากคุณติดกล้องวงจนปิดหรือมีโทรศัพท์พื้นฐานควรต่อสายพ่วงเข้ามาในห้องนอน คุณจะได้มีโทรศัพท์สำรองไว้โทรหาตำรวจหรือขอความช่วยเหลือ


จบเรื่องบ้านแล้วก็มาเรื่องคนในบ้าน ดังที่เขียนไว้ก่อนหน้านี้ว่า อาชญากรรมที่เกิดในบ้านส่วนใหญ่เพราะ “คนนอก” ที่แอบแฝงเข้ามาก่อเหตุ คำว่า “คนนอก” หมายถึง ใครก็ตามที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้น อาทิเช่น ญาติทั้งที่ใกล้ชิดและห่างๆ แฟน หรือเพื่อนสนิทของคนในบ้าน บ้านใกล้เรือนเคียง คนรู้จัก คนงานต่อเติมบ้าน ยามหมู่บ้าน คนจดมิเตอร์น้ำ-ไฟ คนล้างแอร์ ฯลฯ คุณต้องตั้งกฎเหล็กให้คนทั้งบ้านทำตาม คือ หากมีคนนอกเข้ามาในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นใคร ด้วยเหตุผลใดก็ตาม ต้องถือว่าบ้านคุณมีความเสี่ยงอยู่ในรหัสสีเหลืองหรือส้มทันที นั้นคือ ทุกคนในบ้านต้องถือเป็นหน้าที่ที่ต้องสอดส่องอย่างระแวดระวัง หากคนที่เข้ามาในบ้านเป็นคนแปลกหน้าโดยอาจอ้างว่า คนในบ้าน (ที่ไม่อยู่ตอนนั้น) ใช้ให้มา ให้คนในบ้านทำดังนี้ทันที


1. ใช้โทรศัพท์มือถือ ถ่ายรูปคนเหล่านั้นทุกคนแล้วส่งไปยังผู้ถูกอ้างชื่อเพื่อขอคำยืนยัน หากติดต่อไม่ได้ ห้ามคนเหล่นนั้นเข้ามาในบ้านเด็ดขาด


2. หากผู้มาเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตาแต่ในบ้านไม่มีผู้ชายอยู่เลย คนที่อยู่ต้องโทรขอคำยืนยันกับเจ้าของบ้าน แล้วอาจโทรตามเพื่อนบ้านหรือยามหมู่บ้านมาเป็นเพื่อน แต่หากติดต่อไม่ได้ ห้ามเปิดประตูเด็ดขาด


3. หากผู้มาเป็นเจ้าหน้าที่หรืออ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่มาเพราะมีคนแจ้งเหตุ แต่คนในบ้านติดต่อคนแจ้งเหตุไม่ได้ ห้ามไม่ให้เจ้าหน้าที่คนนั้นเข้าเด็ดขาด แล้วต้องโทรตามเพื่อนบ้านหรือยามหมู่บ้านมาเพื่อให้มีคนอยู่มากขึ้น


4. สั่งเด็กคนรับใช้ เด็กวัยรุ่นหรือผู้สูงอายุในบ้าน ว่าหากไม่ได้บอกล่วงหน้าแต่มีใครก็ตามมาอ้างว่ามาส่งของ มาขนของ คนที่อยู่นอกบ้านเกิดอุบัติเหตุให้ไปเยี่ยม อยู่โรงพักให้เตรียมเงินไปประกัน ฯลฯ จะอย่างไรก็ตามให้ติดต่อแจ้งทุกคนให้ทราบเพื่อตัดสินใจ อย่าปล่อยให้ผู้แอบอ้างเข้ามาหรือตามเขาออกไปเป็นอันขาด


เพียงสี่ข้อนี้หากทุกคนปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เท่ากับคุณซื้อกรมธรรม์กันภัยที่มั่นคงให้กับบ้านของคุณแล้ว บ้านก็จะเป็นวิมานของคุณไปนานแสนนาน


เรียบเรียงโดย Snap shot

Friday, July 2, 2010

Cops and Knives

Cops and Knives



ตำรวจในอเมริกาส่วนใหญ่นอกจากพกปืนเพื่อการใช้งานในภารกิจประจำวันแล้ว พวกเขายังพกมีดเพื่อการใช้งานทั่วๆไปด้วย มีดยังสามารถใช้เป็นอาวุธสำรอง (Backup weapons) ในยามจำเป็น แต่จะมีสักกี่คนที่ได้รับการฝึกฝนใช้มีดในเชิงต่อสู้ป้องกันตัว และมีการทบทวนการใช้อาวุธที่ตนพกประจำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อคงไว้ซึ่งความสามารถในการใช้อาวุธเหล่านั้น


นาย Michael Janich เป็นครูฝึกสอนการใช้มีดเพื่อการป้องกันตัวให้กับตำรวจ ทหาร และพลเรือน ที่มีชื่อเสียง เขากล่าวว่า ตำรวจต้องการมีด เพราะในหน้าที่การงานแล้วมีดสามารถใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง ตั้งแต่งานจิปาถะ เช่น ตัดข้าวของเล็กๆน้อยๆเพื่อหาหลักฐานของคดี ไปจนถึงการใช้เพื่อป้องกันตัวจากคนร้ายในระยะประชิด


มีดพับซึ่งสามารถเปิดได้ด้วยมือเดียว (One-handed tactical folder) เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการใช้งานของตำรวจโดยทั่วไป


คำว่า Tactical ไม่ได้หมายความว่า มีดที่ทาสีดำหรือราคาแพงเป็นสองเท่า แต่หมายถึง มีดซึ่งง่ายในการพกพาโดยใช้ที่หนีบกระเป๋ากางเกง (Pocket clip) เป็นมีดที่แข็งแรงและมีระบบล็อกที่เชื่อถือได้ นอกจากนั้นยังต้องสามารถชักมีดและปิดมีดได้ด้วยมือเดียว


ถึงแม้ว่ามีดจะไม่ได้อยู่ในอุปกรณ์หลักของตำรวจ (รัฐไม่จัดหาให้หรือบังคับให้ต้องมี) แต่เมื่อจะพกมีดก็ไม่ควรฝากชีวิตไว้กับมีดคุณภาพต่ำ ราคาถูกๆ ซึ่งในท้องตลาดยังมีมีดที่มีคุณภาพดีแต่ราคาไม่แพงมากอยู่


ตำแหน่งในการพกมีด มี 2 แห่งที่ใช้กันบ่อย คือ พกในกระเป๋ากางเกงด้านมือข้างถนัด (Strong-side pocket) และด้านมือข้างไม่ถนัด (Weak-side pocket)


ประโยชน์ของการพกในกระเป๋าด้านมือข้างถนัด คือ สามารถชักปืนหรือมีดได้อย่างเป็นธรรมชาติ และใช้วิธีในการป้องกันการถูกแย่งอาวุธออกจากซองปืนหรือที่พกมีดด้วยรูปแบบเดียวกัน


ข้อดีของการพกมีดในกระเป๋ากางเกงด้านมือข้างไม่ถนัด คือ เมื่อคนร้ายเข้ามาแย่งปืนจากซองปืนของคุณ เราสามารถใช้มือข้างถนัดกุมปืนในซองเอาไว้ไม่ให้ถูกดึงออกไปได้ แล้วใช้มืออีกข้างชักมีดออกมาเพื่อใช้งานได้


ส่วนการพกมีดในตำแหน่งอื่น เช่น เหน็บไว้หลังเข็มขัด ใส่ในซองกระสุน หรืออื่นๆ ต่างก็มีข้อดี ข้อเสีย ดังนั้นตัวคุณเองต้องมองหาตำแหน่งในการพกมีดที่เหมาะสม โดยยึดหลักที่ว่า ต้องเป็นตำแหน่งที่ง่ายในการเข้าถึงมีด สามารถชักมีดออกได้อย่างรวดเร็วแม้ในขณะที่กำลังทำการต่อสู้ระยะประชิด


นอกจากนั้นต้องฝึกการพกและทำการชักมีดออกจากที่พกเพื่อใช้งาน ควรใช้มีดซ้อม (Training knives) ซึ่งมีลักษณะแบบเดียวกับมีดซึ่งเราใช้งานในการฝึกเพื่อความปลอดภัย ห้ามใช้มีดจริงในการฝึกซ้อมกับคู่ซ้อมโดยเด็จขาด


เมื่อมีมีดแล้วก็ต้องเลือกระบบวิชามีดในการใช้ซึ่งมีหลายรูปแบบ ถึงแม้ศิลปะการต่อสู้ที่มีมานาน (Traditional martial arts) จะมีการสอนมีดด้วยก็ตาม เช่น ในญี่ปุ่นมี Tanto-jutsu อินโนนีเซียมี Silat และ Filipino martial arts เป็นต้น นอกจากนั้นยังมีระบบมีดต่อสู้ของทหาร (Military knife systems) มี Classical Western systems, Systems based on prison tactics และอื่นๆอีกมาก แต่ก็ไม่มีรูปแบบใดเพียงรูปแบบเดียวซึ่งเหมาะสมกับเจ้าหน้าที่ซึ่งต้องใช้อาวุธหรือประชาชนซึ่งพกมีดเพื่อการป้องกันตัวในสมัยใหม่ เนื่องจากวิชาเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาในต่างยุค ต่างสมัย ต่างวัฒนธรรม ต่างสถานการณ์ ต่างจุดประสงค์


ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันตัวด้วยมือเปล่าหรือมีดนั้น จะเห็นได้ว่าไม่มีรูปแบบใดเพียงรูปแบบเดียวของศิลปะการต่อสู้ (Traditional martial arts) ซึ่งเหมาะสมกับการใช้งานในปัจจุบัน ดังนั้นการดึงข้อดีของแต่ละรูปแบบนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เรียกว่า การป้องกันตัวแบบผสมผสาน


ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่รักษากฎหมายหรือประชาชน มีดพับซึ่งเปิดได้ด้วยมือเดียว (One-handed tactical folders) ถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการใช้งานทั่วไปและสามารถใช้เป็นอาวุธสำรองได้ในยามจำเป็น ส่วนการป้องกันตัวด้วยมือเปล่าหรือการใช้มีดนั้นควรเรียนรู้แบบผสมผสานเพื่อความยืดหยุ่น มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับยุคสมัย อีกทั้งควรฝึกฝนบ่อยๆจนเกิดทักษะความชำนาญ


Thai self-defense และ Easy Defense Club สอนการป้องกันตัวด้วยมือเปล่าและมีดโดยอาศัยหลักการของ “การป้องกันตัวแบบผสมผสาน”


สุดท้ายนี้ทุกครั้งที่จับมีดขอให้มี “สติ”


เรียบเรียงโดย Batman
อ้างอิงเนื้อหาบางส่วนจากบทความเรื่อง What you don’t know can hurt you ของ Michael Janich
 

Samsung LCD televisions