Sunday, December 30, 2012

Throwing Knife


Throwing Knife

มีดขว้าง (Throwing Knife) มีใช้ในหลายวัฒนธรรมทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นอัฟริกา อเมริกา ยุโรป เอเชีย มีดขว้างสมัยใหม่มักจะทำจากโลหะชิ้นเดียวยาวจรดด้ามมีด ไม่มีชิ้นส่วนเสริมประกบด้าม โดยปลายมีดจะแหลมและคมมีดมักยาวถึงกลางมีด (โดยส่วนใหญ่มักมีสองคม) และในบางวัฒนธรรมมีการออกแบบมีดขว้างไว้อย่างหลากหลายมาก

มีดข้วางมี 2 แบบ คือ แบบสมดุลย์ (Balanced knives) และ แบบไม่สมดุลย์ (Unbalanced knives) โดยแบบสมดุลย์นั้นน้ำหนักของมีดจะอยู่สมดุลย์ตรงกลางมีดพอดี ส่วนแบบไม่สมดุลย์นั้นน้ำหนักของมีดส่วนใหญ่จะเอียงไปด้านใดด้านหนึ่งไม่อยู่ตรงกลางมีด

โดยส่วนใหญ่มีดขว้างแบบสมดุลย์นิยมมากกว่าแบบไม่สมดุลย์ เนื่องจากขว้างได้ง่ายกว่าสามารถจับมีดขว้างได้ดีทั้งการจับที่ด้ามหรือที่ใบมีด ส่วนการขว้างมีดแบบไม่สมดุลย์นั้นโดยทั่วไปจะจับส่วนที่เบาที่สุดของมีด เช่น ถ้าใบมีดเบากว่าด้ามมีดก็ให้จับที่ใบมีดเวลาขว้าง แต่ถ้าด้ามมีดเบากว่าใบมีดก็ให้จับที่ด้ามมีด เป็นต้น

มีดที่เบากว่ามักจะขว้างได้ง่ายกว่ามีดที่หนัก แต่อำนาจในการทะลุทะลวงก็จะน้อยกว่าเนื่องจากแรงปะทะเบากว่ามีดที่หนัก

ระยะหวังผลของมีดขว้างขึ้นกับตัวมีดและการฝึกฝน มีรายงานว่าระยะไกลสุดของมีดขว้างอาจไกลถึง 45 เมตร เลยทีเดียว

เทคนิกการขว้างมีดมีหลายวิธีต้องฝึกฝนเป็นเวลานานกว่าจะมีพลังและความแม่นยำ นอกจากนั้นเมื่อขว้างมีดออกไปแล้วเราก็จะเสียมีดเล่มนั้นไปทันที หากเราไม่มีมีดสำรองอยู่ก็อาจเป็นเรื่องอันตรายมากหากมีดเล่มนั้นไม่สามารถหยุดภัยคุกคามได้หรือมีคนร้ายอีกหลายคน

ดังนั้นโดยส่วนตัวแล้วหากเราไม่ได้ฝึกฝนการขว้างมีดมาอย่างชำนาญแล้ว อีกทั้งไม่มีมีดในตัวหลายเล่ม การขว้างมีดไปยังภัยคุกคามก็ขอให้เป็นทางเลือกสุดท้ายจะดีกว่าเพราะอย่างน้อยที่สุดมีมีดอยู่ในมือเราก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรเลย แต่การฝึกขว้างมีดก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจเพราะมันอาจสร้างความแตกต่างระหว่างความเป็นและความตายได้เช่นกัน

สุดท้ายนี้ทุกครั้งที่จับมีดขอให้มี “สติ”
                                                                                                            เรียบเรียงโดย Batman

Sunday, November 11, 2012

Hostage Knife Threat (2)


Hostage Knife Threat (2)

ต้องขออภัยที่ห่างหายไปนานเนื่องจากติดภาระกิจสำคัญหลายเรื่องอย่างต่อเนื่องและต้องเดินทางไปหลายที่ ทำให้ไม่มีเวลามากพอที่จะเขียนบทความ ก็ขอเล่าเรื่องต่อจากครั้งที่แล้ว

การถูกอาวุธมีดจี้คอจากด้านหน้าพบได้บ้าง คนร้ายอาจใช้วิธีนี้ในการเริ่มต้นภัยคุกคามก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นการจี้คอจากด้านหลังซึ่งคนร้ายจะได้เปรียบอย่างมาก

การแก้ไขการถูกมีดจี้คอจากด้านหน้ามีหลายวิธี วิธีหนึ่งที่ขอนำมาแบ่งปัน อย่างแรกต้องตั้งสติให้ดีก่อน เพราะถ้าเราขาดสติจะยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง ยกมือทั้งสองของเราขึ้นระดับเดียวกับตำแหน่งที่มีดอยู่ (แสดงการยอมแพ้) ให้ความร่วมมือกับคนร้ายไปก่อน เมื่อได้จังหวะ เช่น คนร้ายกำลังพูดหรือสนใจสิ่งอื่นอยู่ ก็ให้ใช้มือทั้งสองของเรากุมมือของคนร้ายข้างที่ถือมีด และดันออกห่างคอเราพร้อมกับดึงคอเราออกห่างจากคมมีด ใช้หลัก สองมือสู้มือเดียว งอขอศอกของเราเพื่อไม่ให้มีดของคนร้ายอยู่ห่างไกลตัวเราเกินไปจะทำให้เราไม่มีแรงมากพอที่จะควบคุมมือของคนร้าย

ต่อจากนี้ไปทำได้หลายอย่าง เช่น การบิดมือข้างที่ถือมีดของคนร้ายให้คลายมีด หรือหมุนตัวเอารักแร้ของเราหนีบแขนข้างที่ถือมีดของคนร้ายแล้วทำการปลดอาวุธหรือบังคับให้คนร้ายต้องนอนลงกับพื้นโดยการงัดท่อนแขนของคนร้ายขึ้น เป็นต้น

หลักสำคัญอยู่ที่ มีสติ ยกมือสองข้างของเราอยู่ระดับเดียวกับมีด รอจังหวะ ใช้สองมือสู้มือเดียว ควบคุมหรือปลดอาวุธ

ยังมีอีกหลายวิธีที่สามารถแก้ไขการถูกมีดจี้คอจากด้านหน้าได้ ก็ขอให้ฝึกฝนในหลายรูปแบบเพื่อดูว่าเราเหมาะกับแบบใด และในบางครั้งสถานการณ์หนึ่งๆอาจเหมาะสมกับบางวิธีเท่านั้น หากเรารู้หลายอย่างก็สามารถปรับตัวให้เหมาะสมกับสถานการณ์ได้

สุดท้ายนี้ขอให้ตั้ง สติ ทุกครั้งเมื่อเผชิญเหตุ และขอให้ พลังจงอยู่กับท่าน
                                                                                    เรียบเรียงโดย Batman

Saturday, September 29, 2012

Hostage Knife Threat (1)



Hostage Knife Threat (1)

ภัยคุกคามจากมีดพบได้บ่อยโดยเฉพาะการถูกมีดจี้คอจากด้านหลังจับเราเป็นตัวประกัน เป็นหนึ่งในสถานการณ์ที่ตึงเครียดและมีชีวิตเป็นเดิมพัน

ในการเผชิญเหตุสิ่งแรกที่จะต้องทำคือ การตั้งสติ เพราะการขาดสติรังแต่จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง หากเรารู้เทคนิกในการแก้ไขการถูกมีดจี้คอก็ให้รอจังหวะที่เหมาะสมในการลงมือ ข้อได้เปรียบอย่างหนึ่งของเราก็คือ เรารู้ว่าเมื่อไรเราจะลงมือแก้ไข แต่คนร้ายไม่รู้ว่าเราจะลงมือเมื่อไร ดังนั้นโอกาสประสบความสำเร็จจึงมีสูงหากเรารู้วิธี

เทคนิกในการแก้ไขการถูกมีดจี้คอไม่ว่าจะเป็นการถูกจี้จากด้านหลังมีหลายวิธี หลักสำคัญคือ ใช้สองมือของเราควบคุมมือข้างที่ถือมีดของคนร้าย (ใช้สองมือสู้มือเดียว) และหันคมมีดออกจากคอเรา เช่น การใช้สองมือกุมข้อมือคนร้ายกดแน่นกับหน้าอกของเรา โดยหันคมมีดออกจากคอแล้วบิดตัวม้วนศีรษะเรารอดผ่านรักแร้ของคนร้าย บิดแขนคนร้ายอ้อมไปข้างหลังทำการควบคุมคนร้าย (อย่าปล่อยมือออกจากข้อมือของคนร้ายจนกว่าเราจะอยู่ในตำแหน่งที่ปลอดภัยและได้เปรียบ)

ไม่อยากแนะนำให้ทำการปลดมีดหากไม่รู้วิธีที่ถูกต้องเพราะอาจทำพลาดได้ แค่ควบคุมมือข้างที่ถือมีดของคนร้ายไม่ให้เป็นภัยคุกคามต่อไปได้ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว

เทคนิกในการแก้ไขการถูกมีดจี้สำหรับประชาชนจะใช้วิธีที่เรียบง่าย เรียนรู้ได้เร็ว และมีประสิทธิภาพ ควรเรียนรู้หลายเทคนิกเพื่อเลือกให้เหมาะสมกับตัวเรา (ไม่มีเทคนิกใดดีที่สุดไม่มีที่ติ มีแต่เทคนิกที่เหมาะกับตัวเองที่สุด ซึ่งเราต้องเลือกเอง)

สุดท้ายนี้ขอให้ตั้ง สติ ทุกครั้งเมื่อเผชิญเหตุ และขอให้ พลังจงอยู่กับท่าน

                                                                              เรียบเรียงโดย Batman

Thursday, September 6, 2012

S cut







S cut

โดยปกติการใช้มีดฟันมักจะเป็นแนวเส้นตรง แต่มีการใช้มีดต่อสู้บางรูปแบบที่มีทิศทางซึ่งต่างออกไป ไม่ว่าจะเป็นการจับมีดแบบ Forward หรือ Reverse grip ก็สามารถใช้รูปแบบนี้ได้

S cut หรือ การฟันเป็นรูปตัวอักษร S ในภาษาอังกฤษ มักใช้ในกรณีที่เมื่อฟันมีดไปแล้วใบมีดเกิดติดอะไรบางอย่าง เราก็อาจเปลี่ยนทิศทางมีดไปด้านอื่นเพื่อให้การใช้มีดมีความไหลลื่นต่อเนื่อง (บางครั้งอาจต้องดึงมีดออกมาก่อน) อีกทั้งทำให้บาดแผลยาวและฉกรรจ์มากขึ้น

การฟันแบบนี้เป็นหนึ่งในรูปแบบที่สอนกันมากในแถบภูมิภาคนี้ เช่น Kali ซึ่งเป็นแขนงหนึ่งของ Filipino Martial Art (FMA) เป็นต้น มีด Karambit ก็นิยมใช้เทคนิคนี้เช่นกัน

หลายคนมักถามว่า “การฟัน” หรือ “แทง” อย่างไหนน่ากลัวกว่ากัน โดยส่วนตัวแล้วขึ้นกับเราให้นิยามของความว่า “น่ากลัว” ไว้อย่างไร ถ้า กลัวเสียชีวิต การแทงดูจะมีโอกาสเสียชีวิตมากกว่า ถ้า กลัวพิการ การฟันก็อาจดูน่ากลัวกว่า แต่ไม่ว่าจะฟันหรือแทงต่างก็สามารถทำให้เสียชีวิตและพิการได้ทั้งสิ้นขึ้นกับตำแหน่งที่ถูกทำร้าย

ในการใช้มีดเพื่อต่อสู้ป้องกันตัวนั้นเป็นเรื่องของความเข้าใจในความสำคัญของระยะห่างที่เหมาะสม ความรวดเร็วและไหลลื่นของการใช้มีด และการก้าวเท้าอย่างถูกต้อง (Footwork)

S cut เป็นวิธีหนึ่งซึ่งทำให้การใช้มีดยากแก่การรับมือ

สุดท้ายนี้ทุกครั้งที่จับมีดขอให้มี “สติ”

                                                                                                            เรียบเรียงโดย Batman

Sunday, August 12, 2012

Choke Release Techniques


Choke Release Techniques

เหตุการณ์ร้ายหลายครั้งคนร้ายพยายามเข้ามาบีบคอไม่ว่าจะเป็นด้านหน้า ด้านข้างหรือด้านหลังของเรา ซึ่งการบีบคอนี้อันตรายเกิดจากการขาดอากาศและขาดเลือดไปเลี้ยงสมอง เนื่องจากหลอดลมและเส้นเลือดแดงใหญ่บริเวณคอถูกบีบจนร่างกายขาดอากาศและสมองขาดเลือดไปเลี้ยงทำให้หมดสติและอาจเสียชีวิตได้ภายในเวลาอันสั้น

การบีบคอมีหลายวิธีทั้งการใช้มือหรือท่อนแขนบีบรัด ตั้งแต่วิธีที่เรียบง่ายไปจนถึงวิธีที่ซับซ้อน (ซึ่งมักใช้ในการกีฬา) โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการใช้มือทั้งสองข้างบีบคอ

สำหรับประชาชนที่ต้องการป้องกันตัวจากการถูกบีดรัดคอด้วยมือทั้งสองข้างของคนร้าย สามารถทำได้หลายวิธี ในการป้องกันตัว (Self-defense) จะเลือกใช้วิธีที่เรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพ คงไม่สามารถบอกกล่าวได้ทุกวิธีที่สามารถใช้แก้ไขสถานการณ์ได้ แต่จะขอเน้นที่หลักการซึ่งสามารถนำไปปรับใช้ได้

เงื่อนไขสำคัญในการป้องกันตัวจากการถูกบีดคออยู่ที่ “เวลา” หากปล่อยไว้นานหรือไม่สามารถแก้ไขออกมาได้เร็วเราอาจหมดสติไปเสียก่อน ดังนั้น “เวลาในการตอบโต้หรือแก้ไข” จึงสำคัญมาก

โดยทั่วไปผมจะใช้หลักการ 3 ข้อ กล่าวคือ

1.      Short Circuit หรือ การทำให้ลัดวงจร เป็นการทำให้คนร้ายซึ่งกำลังมุ่งมั่นที่จะทำร้ายเราเกิดอาการช็อคหรือตกใจ เช่น การตอบโต้กลับไปยังตำแหน่งที่เปราะบางของร่างกายคนร้าย เพื่อให้เกิดการชะงักงันชั่วครู่ เปิดโอกาสให้เรามีเวลามากพอที่จะแก้ไขสถานการณ์ออกมาได้ ซึ่งมีหลายวิธีแต่จะไม่ขอกล่าวในที่นี้

2.      เทคนิคแก้ไขการถูกบีบคอ เป็นวิธีการแก้ไขจากการถูกบีบคอไม่ว่าจะจากด้านหน้า ด้านข้างหรือด้านหลัง ซึ่งมีหลายวิธีแต่วิธีที่ง่ายและฝึกฝนได้ไม่ยาก อาทิเช่น อย่างแรกควรลดโอกาสที่หลอดลมและเส้นเลือดแดงใหญ่ที่คอจะถูกบีบโดยการ “เก็บคอ” (ก้มศีรษะคางชิดลำคอ ซึ่งจะทำให้กล้ามเนื้อคอเกร็งช่วยปกป้องหลอดลมและเสื้นเลือดได้ในระดับหนึ่ง) จากนั้นยกแขนข้างหนึ่งขึ้นแล้วหันตัวไปด้านตรงข้ามพร้อมกันฟันข้อศอกลงบนแขนทั้งสองข้างของคนร้ายเพื่อปลดการบีดรัดคอของเรา เทคนิคนี้สามารถใช้ได้ไม่ว่าจะถูกบีดคอจากด้านใดก็ตาม

3.      การตอบโต้กลับ (Strike back) แน่นอนว่าเมื่อเราปลดล็อคจากการถูกทำร้ายได้เราควรหนี แต่ในหลายกรณีก็ไม่สามารถทำได้ในทันที อีกทั้งคนร้ายอาจไล่ตามเรามาได้ ดังนั้นการตอบโต้กลับอย่างมีประสิทธิภาพอาจเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งการตอบโต้กลับมีหลายวิธีขึ้นกับการฝึกฝนและสถานการณ์

ในการฝึกป้องกันตัวนั้นจะได้เรียนรู้หลายๆวิธีในการแก้ไขสถานการณ์ เพื่อให้เราสามารถนำมาปรับใช้ได้กับภัยคุกคามที่กำลังเผชิญเบื้องหน้า เนื่องจากไม่มีเทคนิคใดเทคนิคหนึ่งที่ดีสมบูรณ์แบบไม่มีที่ติ ทุกวิธีมีข้อจำกัดหรือข้อด้อยเสมอ ดังนั้นการเรียนรู้หลายๆวิธีทำให้เราสามารถนำวิธีเหล่านั้นมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ได้ดีขึ้น

แต่จงจำไว้ว่าการฝึกการป้องกันตัว (Self-defense training) นั้นอาศัยความเรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพ ท่วงท่าอาจดูไม่สวยงามเหมือนศิลปะการต่อสู้ (Martial Arts) แต่ขอให้ดูที่ประสิทธิผลเป็นสำคัญ หากเราเรียนรู้ท่าทางที่สวยงามดูดี แต่ต้องใช้เวลาฝึกนานหลายเดือนและมีรายละเอียดมากมายต้องจดจำ เป็นการยากที่จะฝึกฝนให้ชำนาญได้ก็อาจไม่เหมาะสำหรับประชาชนทั่วไป

สุดท้ายนี้ขอให้ตั้ง “สติ” ทุกครั้งเมื่อเผชิญเหตุ และขอให้ “พลังจงอยู่กับท่าน”
                                                                                                            เรียบเรียงโดย Batman

Saturday, July 14, 2012

Big Kinfe VS. Small Knife


Big Kinfe VS. Small Knife

หลายคนคิดว่ามีดยิ่งยาวยิ่งได้เปรียบ ความคิดนี้เป็นจริงหรือไม่? ในอเมริกาหลายรัฐมีกฎหมายกำหนดความยาวของมีดซึ่งพกพาได้โดยประชาชนส่วนใหญ่ไม่เกิน 4 นิ้ว (บางรัฐไม่เกิน 3 นิ้ว) สำหรับนาย Michael Janich หากถูกจู่โจมจากคนร้ายที่มีอาวุธ เขาก็คงตอบโต้กลับด้วยอาวุธมีดที่มีก็คือ มีดพับ (Tactical Folder) ใบยาว 3 ถึง 4 นิ้ว แต่คนร้ายตามท้องถนนมักใช้มีดใบตาย (Fixed blade) ยาว 5 ถึง 7 นิ้วเป็นส่วนใหญ่

มีดยาวมักมีผลที่สำคัญ 4 อย่าง คือ การขู่ขวัญ, ระยะที่ถึงเป้าหมายได้เร็วกว่ามีดที่สั้นกว่า, แรงส่งที่มากกว่า, ความลึกที่มากกว่าเมื่อแทงถูกเป้าหมาย

ในการใช้มีดที่ยาวจะมีเทคนิคบางอย่างที่ได้เปรียบมีดที่สั้นกว่า เช่น การสะกัดกั้น (block) การโจมตีด้วยมีด, การแทงที่ได้เปรียบ แต่ก็มีบางจุดที่อาจเสียเปรียบ เช่น ความรวดเร็วในการเคลื่อนไหวของมีดจะช้ากว่ามีดที่สั้นและเบากว่า

การต่อสู้ป้องกันตัวด้วยอาวุธมีดนั้นเป็นเรื่องของการใช้ประโยชน์จากระยะมีดของเราและของคนร้าย โดยใช้เทคนิคต่างๆเพื่อสร้างความได้เปรียบ

ดังนั้นเราต้องรู้ข้อดี ข้อจำกัดของมีดสั้นและยาว เพื่อเลือกใช้เทคนิคให้ถูกต้องกับอาวุธมีดที่มีในมือของเราและเหมาะสมกับมีดของคนร้าย ดังนั้นมีดที่ยาวกว่าอาจไม่ได้เปรียบมีดที่สั้นกว่าเสมอไป ขึ้นกับทักษะความชำนาญของผู้ใช้เป็นสำคัญ

สุดท้ายนี้ทุกครั้งที่จับมีดขอให้มี “สติ”

                                                                                                เรียบเรียงโดย Batman
                                                            อ้างอิงเนื้อหาบางส่วนจากบทความเรื่อง Size Does Matter ของ Michael Janich

Wednesday, June 13, 2012

Self-defense on the Ground


Self-defense on the Ground

ในการฝึกฝนการป้องกันตัวนั้นอย่าฝึกเพียงสภาพที่เราตอบโต้ได้ดีตลอดเวลา ควรฝึกฝนในภาวะหรือสภาพที่เราเสียเปรียบด้วยโดยเฉพาะเมื่อเรานอนอยู่บนพื้น ในเหตุการณ์จริงหลายครั้งที่เหยื่อถูกทำร้ายจนล้มลงกับพื้นแล้วถูกคนร้ายไม่ว่าจะเป็นคนเดียวหรือหลายคนรุมทำร้ายหนักขึ้น ไม่ว่าจะถูกเตะ รุมถีบ และเป็นสภาพที่เหยื่อมักตอบโต้ได้จำกัด

ในสถานการณ์จริงเมื่อเราล้มลงบนพื้นคู่ต่อสู้จะไม่มานอนต่อสู้กับเราเหมือนกับกีฬาการต่อสู้ทั่วๆไป อย่างเช่น Mixed martial art (MMA), Jiu-jitsu หรือJudo เป็นต้น คนร้ายมักจะยืนเตะเหยื่อหรือรุมกระถืบเป็นส่วนใหญ่ โดยศีรษะของเราจะเป็นเป้าหมายแรกๆที่ถูกทำร้าย ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการล้มลงกับพื้นและการต่อสู้บนพื้น (Ground fighting)

นาย Michael Janich ครูฝึกการป้องกันตัว (Self-defense) ที่มีชื่อเสียงได้ให้ข้อชี้แนะไว้อย่างน่าสนใจ อย่างแรกคือ ในการป้องกันตัวจากภัยคุกคามที่เข้ามาทำร้าย ให้พยายามอย่าล้มลงกับพื้น เพราะท่ายืนเป็นท่าที่เราเคลื่อนไหวได้ถนัดและมีประสิทธิภาพดีที่สุด หากคุณถูกทำให้ล้มลงกับพื้นสิ่งแรกที่จะต้องทำก็คือ พยายามลุกขึ้นยืนให้ได้เร็วที่สุด นอกจากนั้นควรล้มลงพื้นอย่างถูกวิธี (ในการฝึกการป้องกันตัวนั้น การฝึกล้มลงพื้นและการลุกขึ้นยืนอย่างถูกวิธีถือเป็นพื้นฐานอย่างหนึ่งซึ่งต้องเรียนรู้)

ท่าที่เหมาะสมในการป้องกันตัวขณะนอนอยู่บนพื้นก็คือ งอเข่าสองข้างเข้าหาลำตัว งอข้อศอกและมือป้องกันบริเวณศีรษะ ในท่านี้คุณสามารถป้องกันอวัยวะที่สำคัญส่วนใหญ่ได้อีกทั้งสามารถตอบโต้ด้วยการถีบและใช้มือและแขนได้ถนัดขึ้น

หากคุณไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้ก่อนที่คนร้ายจะเข้ามาทำร้ายซ้ำ ก็คงต้องป้องกันตัวในขณะที่นอนอยู่บนพื้น มีหลายวิธีที่สอนกันในหลายศูนย์ฝึกอบรมทั่วไป เช่น การนอนตะแคงข้างใดข้างหนึ่งแล้วใช้เท้าถีบตอบโต้หรือป้องกันไปด้วย อาจได้ผลดีถ้ามีคนร้ายเพียงคนเดียว แต่หากมีคนร้ายหลายคนการนอนตะแคงข้างจะเปิดเผยกระดูกสันหลังซึ่งอาจถูกทำร้ายได้ง่ายโดยคนร้าย นอกจากนั้นบางศูนย์ฝึกสอนให้นอนหงายแล้วถีบตอบโต้แบบถีบจักรยาน แต่ก็มักจะต้องลดมือลงมาเป็นการเปิดเผยบริเวณศีรษะให้คนร้ายหลายคนทำร้ายได้

นาย Michael Janich ได้ทดลองหลายครั้งและหลายวิธีในการป้องกันตัวบนพื้นพบว่า ท่าที่เหมาะสมในการป้องกันตัวควรนอนหงาย เขาเรียกว่า Defensive position โดยงอเข่าสองข้างให้ฝ่าเท้าขวาวางบนพื้น เท้าซ้ายลอย งอขอศอก ยกศีรษะขึ้นใช้มือป้องศีรษะไว้ ในท่านี้คุณสามารถใช้เท้าซ้ายในการถีบสกัด หรือป้องกันการเตะและถีบจากคนร้ายได้ดี นอกจากนั้นยังเป็นท่าซึ่งสามารถทำให้คนร้ายล้มลงด้วยเทคนิกที่ไม่ยาก

หลักการอย่างหนึ่งซึ่งนาย Michael Janich แนะนำก็คือ อย่าเพียงแต่ป้องกันอย่างเดียว ให้ตอบโต้กลับไปด้วย โดยเฉพาะการเตะและถีบกลับ ตำแหน่งที่ควรโจมตีอาทิเช่น บริเวณหัวเข่าและด้านในของข้อเท้า

ไม่ว่าจะเป็นวิธีการป้องกันตัวรูปแบบใดต่างก็มีข้อดีและข้อจำกัดด้วยกันทั้งสิ้น การฝึกฝนเพื่อให้เกิดทักษะความชำนาญและสร้างความมั่นใจในการเผชิญเหตุการณ์ร้ายเป็นสิ่งจำเป็น การฝึกการป้องกันตัว (Self-defense Training) สมัยใหม่ มักรวบรวมเทคนิกมาจากศาสตร์หลายแขนงแล้วนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับสภาพภัยคุกคามในปัจจุบัน ท่าทางหรือท่วงท่าอาจไม่สวยงามเหมือนศิลปะการต่อสู้ (Martial Art) เนื่องจากคำนึงถึงประสิทธิผลในการใช้งานเป็นสำคัญ อีกทั้งง่ายในการฝึกซ้อมและเรียนรู้

สำหรับประชาชนทั่วไปการฝึกการป้องกันตัวบนพื้น (Self-denfense on the Ground) ถือเป็นหนึ่งในทักษะที่จำเป็น

สุดท้ายนี้ขอให้ตั้ง “สติ” ทุกครั้งเมื่อเผชิญเหตุ และขอให้ “พลังจงอยู่กับท่าน”

                                                                                    เรียบเรียงโดย Batman
                                                            อ้างอิงเนื้อหาบางส่วนจากบทความเรื่อง Practical Ground Fighting ของ Michael Janich

Tuesday, May 29, 2012

Multi-tools


Multi-tools

เครื่องมือเอนกประสงค์ หรือ Multi-tool เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้สำหรับนักผจญภัยหรือนักเดินทาง

มีดพับใน Multi-tool เป็นอุปกรณ์หลักที่มักมีในทุกด้าม เครื่องมือแต่ละชิ้นจะประกอบด้วยอุปกรณ์หลากหลายชนิดขนาดย่อส่วน เช่น มีด กรรไกร คีม ไขควง ตะไบ เลื่อย แว่นขยาย ไฟฉาย ที่เปิดกระป๋อง ฯ โดยพับเก็บไว้อย่างมิดชิด การพก Multi-tool หนึ่งชิ้นติดตัวเปรียบเหมือนพกอุปกรณ์ไปด้วยหลายชนิด ถึงแม้อุปกรณ์แต่ละอย่างจะมีขนาดเล็กและใช้งานได้ไม่ถนัดมือนักเมื่อเทียบกับการใช้อุปกรณ์แต่ละอย่างแบบแยกชิ้น แต่การพกอุปกรณ์ขนาดปกติหลายๆชนิดไปทุกวันหรือทุกครั้งที่ออกเดินทางก็อาจเป็นสิ่งที่ไม่สะดวกอย่างมาก นั้นจึงเป็นข้อดีและจุดขายของ Multi-tool ขนาดเล็กเหล่านี้

Multi-tool ที่มีชื่อเสียงในยุคแรกๆและยังคงนิยมอยู่จนถึงปัจจุบัน คงไม่มีใครไม่รู้จักมีดพับของ Swiss (Swiss Army Multi-tool) ยี่ห้อ Victorinox ซึ่งมีพื้นฐานมาจากการใช้งานในสนามรบ ทหารต้องการมีดและอุปกรณ์ใช้งานหลายชนิดแต่ไม่อยากพกอุปกรณ์ติดตัวไปมาก จึงได้พัฒนามีดพับซึ่งมีอุปกรณ์ใช้งานจิปาถะเล็กๆน้อยๆซ้อนไว้ในด้ามมีด ต่อมามีดและอุปกรณ์ลักษณะนี้ได้รับความนิยมและแพร่หลายไปทั่วโลก

ในระยะหลังมานี้มี Multi-tool อีกยี่ห้อหนึ่งซึ่งได้รับความนิยมมากขึ้น คือ Leatherman โดยได้แรงบันดาลใจจากการที่ผู้คิดค้นนิยมการเดินทางไกลโดยรถยนต์ เมื่อรถเสียกลางทางบ่อยครั้งต้องขนเครื่องมือติดรถไปมากมายเพื่อซ่อมเครื่องยนต์ เขาจึงคิด Multi-tool ที่มีคีมเป็นอุปกรณ์หลักและมีอุปกรณ์อื่นๆอีกมากมายประกอบเข้ามา

ในปัจจุบันนี้ Multi-tool ได้มีการผลิตเพื่อตอบสนองต่อกิจกรรมที่หลากหลายและจำเพาะมากขึ้น เช่น เพื่อการตั้งแคมป์ เดินเรือ ลูกเสือ ทหาร นายพราน การยังชีพ เป็นต้น โดยมีอุปกรณ์ภายในที่แตกต่างกันตามความเหมาะสมของกิจกรรม

นอกจากนั้นแต่ละกิจกรรมก็มีอุปกรณ์ให้เลือกหลายขนาดตามจำนวนอุปกรณ์ที่มีบรรจุในแต่ละชิ้น บริษัทผลิตมีดบางยี่ห้อก็มีการผลิต Multi-tool เช่นกัน อาทิเช่น SOG, Gerber เป็นต้น มีดพับในอุปกรณ์เหล่านี้บางยี่ห้อบางแบบมีระบบล็อกใบมีดยามเปิดใช้งานที่แน่นหนา เช่น Linerlock อีกทั้งสามารถเปิดใบมีดได้ด้วยมือเดียว ทำให้สามารถนำมาใช้เพื่อป้องกันตัวได้ด้วย

สำหรับทหาร ตำรวจหรือประชาชนทั่วไปการมี Multi-tool สักอันที่สอดคล้องกับแนวทางการใช้ชีวิตก็เป็นสิ่งที่เหมาะสมทีเดียว ไม่จำเป็นต้องเลือกยี่ห้อดังๆ ราคาแพงๆ หรือ Multi-tool ที่อัดแน่นไปด้วยอุปกรณ์มากมายซึ่งหลายชิ้นชาตินี้อาจไม่มีโอกาสได้ใช้ แต่ขอให้มีขนาดเหมาะสม พกพาสะดวกมีอุปกรณ์ที่เราใช้งานบ่อยๆตรงกับกิจกรรมในชีวิตและการทำงานของเราก็ถือเป็นอันใช้ได้แล้ว

สุดท้ายนี้ทุกครั้งที่จับมีดขอให้มี “สติ”
                                                                                
เรียบเรียงโดย Batman

Sunday, May 13, 2012

Always Ready

Always Ready



นาย John Thomas Grohn เป็นครูฝึกตำรวจมามากกว่าสิบปี เขาเป็นคนที่ใฝ่หาความรู้ตลอดเวลา เนื่องจากมักจะตั้งคำถามให้กับตัวเองบ่อยๆว่า “จะเกิดอะไรขึ้น ถ้า...?” เช่น จะเกิดอะไรขึ้น ถ้า... คนขับรถที่ถูกเรียกให้จอด เปิดประตูออกมาพร้อมกับปืนในมือ หรือคนร้ายตัดสินใจที่จะต่อสู้กับเขาด้วยมือเปล่าเหมือนอย่างกับนักกีฬา MMA (Mixed Martial Art) และตัวเองสามารถรับมือกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นเหล่านี้ได้หรือไม่


การตั้งคำถามเช่นนี้เป็นสิ่งท้าทายตัวเองว่าเราพร้อมที่จะเผชิญสถานการณ์วิกฤติหรือไม่ ทำให้เขาต้องใช้เวลาว่างในการฝึกฝนและไฝ่หาความรู้เพิ่มเติมอยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะอยู่ในหรือนอกเวลาปฏิบัติงานเขาจะเตรียมพร้อมอยู่เสมอ


สำหรับประชาชนทั่วไปแล้วการเผชิญเหตุร้ายอาจแตกต่างจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่คุณก็ควรตั้งคำถามทำนองนี้ซึ่งอาจต้องเผชิญ อาทิเช่น


จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าคุณ... เกิดถูกคนร้ายจี้ด้วยมีด ปืน หรือถูกทำร้ายด้วยไม้ ถูกรุมทำร้าย ถูกคุกคามทางเพศ คุณมีความพร้อมที่จะเผชิญเหตุ มีทักษะในการเอาตัวรอดหรือไม่ ถ้าคำตอบคือ “ไม่มีทักษะ หรือ ไม่พร้อมรับมือ” แล้วคุณจะทำอย่างไรให้ตัวคุณ “มีทักษะ หรือ พร้อมที่จะรับมือ” คำถามและคำตอบเหล่านี้คุณต้องคิดและหาคำตอบด้วยตนเอง


การฝึกการป้องกันตัว (Self-defense) นั้นจะเกิดประโยชน์เฉพาะบุคคลซึ่งตระหนักและฝึกฝนเองเท่านั้น ไม่สามารถฝึกแทนกันได้ ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันตัวด้วยมือเปล่า มีด หรืออาวุธปืน ต่างก็เป็นทักษะซึ่งต้องใฝ่หาและฝึกซ้อมให้เกิดความชำนาญ


สุดท้ายนี้ขอให้ตั้ง “สติ” ทุกครั้งเมื่อเผชิญเหตุ และขอให้ “พลังจงอยู่กับท่าน”

เรียบเรียงโดย Batman


อ้างอิงเนื้อหาบางส่วนจากบทความเรื่อง What if grasshoppers had machine guns? ของ John Thomas Grohn
 

Samsung LCD televisions