Thursday, April 21, 2011

Knife Blade Shapes


Knife Blade Shapes


มีรูปร่างของใบมีด (Knife Blade Shapes) หลายแบบแตกต่างกัน โดยมีพัฒนาการมานานหลายร้อยหลายพันปี เกิดขึ้นในหลายอารยธรรมทั่วโลก แต่ละแบบมีคุณลักษณะเด่นแตกต่างกัน ซึ่งนำไปสู่การใช้งานให้เหมาะสมกับใบมีด


มีดต่อสู้ (Combat Knives) ก็มีการออกแบบลักษณะของใบมีดที่หลากหลายเช่นกัน จะขอยกตัวอย่างรูปร่างของใบมีดที่นิยมใช้กันในมีดต่อสู้

-          Straightback blade เป็นมีดทรงที่พบเห็นได้ทั่วไป โดยสันมีดยาวตรงไปถึงปลายมีด ด้านคมมีดค่อยๆลาดขึ้นไปบรรจบกับปลายมีด ใช้ได้ดีกับการสับ เฉือน หั่น



-          Drop point ด้านไม่คมของใบมีดจะค่อยๆเริ่มลาดลงหลังจากผ่านครึ่งของความยาวใบมีด ส่วนด้านคมมีดจะเริ่มค่อยๆลาดขึ้นไปบรรจบกับด้านไม่คมจนเกิดเป็นปลายมีด (Tip) ซึ่งตำแหน่งนี้มักสูงกว่าจุดกึ่งกลางของความกว้างของใบมีด มีดลักษณะนี้เหมาะแก่การตัด (Cutting) เฉือน (Slicing) เนื่องจากปลายมีดไม่แหลมมากนักจึงใช้แทงได้ไม่ดีนัก



-          Clip point โดยปกติทั่วไปด้านไม่คมจะเริ่มจากโคนด้ามมีดตรงไปปลายมีด ซึ่งจะเริ่มลาดลงประมาณหนึ่งในสามหรือหนึ่งในสี่ของความยาวใบมีดไปบรรจบกับด้านคมมีด โดยตำแหน่งของปลายมีดมักต่ำกว่าจุดกึ่งกลางของความกว้างของใบมีด มีการออกแบบ Deep clip เช่น มีด Bowie ซึ่งส่วนของด้านไม่คมมีการลาดลงมากจนเกิดเป็นส่วนโค้งเว้าไปปลายมีด ทำให้ปลายมีดแคบและเป็นจุดอ่อนของใบมีดเพราะหักได้ง่าย ในเรื่องความแข็งแรงแล้วจึงน้อยกว่า Drop point หากใช้ในสถานการณ์เพื่อยังชีพ (Survival situation) ปัจจุบันนี้มีการออกแบบ Clip point ให้ส่วนปลายมีดสั้นลงทำให้มีลักษณะคล้าย Drop point มากขึ้น มีดแบบนี้ใช้ได้ดีทั้งการตัดและแทง



-          Spear point ส่วนของใบมีดทั้งสองด้านมาบรรจบกันตรงกึ่งกลางของความกว้างของใบมีดพอดี ปกติมักมีคมทั้งสองด้าน ดังนั้นปลายมีดจึงคมและแข็งแรง แต่มีดบางเล่มอาจมีคมหลอก (False edge) ด้านหนึ่งและคมจริงอีกด้านหนึ่ง ความลาดลงของคมทั้งสองมักเท่าๆกันจนถึงปลายมีด สัดส่วนของสันและคมมีดอาจมีความแตกต่างกันได้ ใบชนิดนี้มักแข็งแรงกว่า Deep clip แต่ก็ยังใช้ประโยชน์ได้ไม่หลากหลายเท่า Drop point หากใช้กับใบมีดขนาดเล็กเราอาจเรียกว่า Pen spear เพราะมักใช้กับมีดปากกา (Pen knives) หรือ มีดพกพาเพื่อใช้งานจิปาถะ (All-purpose blades)



-          Tanto blade เป็นใบมีดที่ได้รับอิทธิพลจากมีดหรือดาบของญี่ปุ่น ปลายมีดอยู่ระดับเดียวกับสันมีดทำให้ปลายมีดมีความแข็งแรงมาก ส่วนด้านคมของมีดอาจทำมุมตัดเฉียงขึ้นไปหาปลายมีดหรือค่อยๆโค้งขึ้นไปก็ได้ มีดนี้มีความแข็งแรงสูงจึงใช้กับงานหนักๆได้ดีไม่ว่าการตัด แทง งัด เจาะวัตถุแข็งๆ



-          Hawkbill or Hook blade เป็นมีดใบโค้งโดยด้านคมของมีดอยู่ทางด้านในของใบโค้ง ปลายมีดคมสามารถใช้ในการตัด เฉือนได้ดี โดยเฉพาะวัตถุที่เหนียวๆ



-          Dagger or double-edged knife เป็นมีดสองคมที่ทั้งสองด้านค่อยๆลาดมาบรรจบกันตรงกึ่งกลางความกว้างของใบมีด จะมีสันมีด (Spine) ที่ยาวตลอดใบมีดทำให้มีดแบบนี้มีความแข็งแรงสูง จึงมักใช้ในมีดเพื่อการป้องกันตัว (Self-defense knives) เป็นส่วนใหญ่ เหมาะแก่การแทง แต่ปลายมีดก็อาจหักได้ง่ายเช่นกัน

-          Scimitar เป็นมีดโค้งที่ด้านคมของใบมีดอยู่ด้านนอกของใบโค้ง ปลายมีดเรียวเล็ก ได้รับอิทธิพลจากมีดหรือดาบของชาวอาหรับ ใช้แทงและเฉือนได้ดีเช่นกัน



-          Trailing point เป็นมีดที่ปลายมีดโค้งขึ้นเล็กน้อย โดยปลายมีดอยู่สูงกว่าสันมีด มักใช้ได้ดีในการเฉือน (Slicing)


Drop point, Clip point และ Spear point เป็นรูปแบบใบมีดที่นิยมมากที่สุด ยังมีมีดต่อสู้ที่มีลักษณะเฉพาะอีกมากแตกต่างกันตามแต่ละวัฒนธรรมต้นกำเนิดและท้องถิ่น นอกจากนั้นยังคงมีการพัฒนาออกแบบมีดให้มีความหลากหลายมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง


สำหรับมีดใช้งานเฉพาะด้าน มีดใช้งานทั่วไป (Utility knives) ก็มีรูปร่างใบมีดซึ่งอาจแตกต่างกันออกไปได้อีก เช่น Sheepfoot, Wharncliffe, ulu, Spay point, Needle point เป็นต้น


การเลือกมีดเพื่อใช้ในการต่อสู้ป้องกันตัวนั้น จำเป็นต้องรู้ข้อดี-ข้อเสีย-ข้อจำกัดของมีดที่เราพกพาประจำเพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างถูกต้องเหมาะสม


สุดท้ายนี้ทุกครั้งที่จับมีดขอให้มี “สติ”
                                                                                                เรียบเรียงโดย Batman
         อ้างอิงเนื้อหาบางส่วนจากบทความเรื่อง Knife Blade Shapes ของ knife-making-supplies.net, Knife Blade Types ของ the-knife-connection.com, Blade Shapes ของ knivestown.com

No comments:

 

Samsung LCD televisions