Tuesday, February 23, 2010

คนร้ายเลือกเหยื่ออย่างไร?

คนร้ายเลือกเหยื่ออย่างไร?


ปัจจุบันปัญหาการก่อคดีอาชญากรรมนับวันจะทวีสูงขึ้น จากสถิติของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ได้รับแจ้งความพบว่า คดีก่ออาชญากรรมทางเพศ, คดีจี้ปล้นชิงทรัพย์ และคดีทำร้ายร่างกาย เฉลี่ยเกิดขึ้นทุกชั่วโมง สถานที่เกิดเหตุมักจะเกิดในที่ๆ เหยื่อคิดว่าปลอดภัย เช่นที่บ้าน หรือในสถานที่ทำงาน รวมทั้งเส้นทางที่เหยื่อต้องใช้เดินทางอยู่เป็นประจำ เช่น ในซอยบ้านของเหยื่อเอง หรือเส้นทางรอยต่อระหว่างบ้านไปที่ทำงาน


พวกเราเคยสงสัยมั้ยครับ? ว่าคนร้ายใช้วิธีการใดในการเลือกเหยื่อ? วิธีการง่ายๆ ครับ ให้เราลองสมมติตนเองเป็นคนร้ายดู คิดว่าถ้าเราเป็นคนร้ายจริงๆ เราอยากได้เหยื่อในฝันที่มีคุณสมบัติแบบไหน? ลองจดใส่กระดาษแล้วเทียบดูกับสถิติซึ่งมีผู้สำรวจไว้ครับ ว่าตรงกันมากน้อยเพียงใด


จากการเก็บสถิติโดยการสัมภาษณ์เหล่าอาชญากรในเรือนจำทั้งในประเทศ และต่างประเทศ 80% ของคนร้าย มักจะเลือกลงมือกับเหยื่อที่


1. ท่าทางไม่มีพิษมีภัย หน่อมแน้ม เล่นงานง่าย อ่อนแอ ซึ่งมักจะเป็น เด็ก, ผู้หญิง หรือ คนแก่ มากกว่าผู้ชาย


2. ขาดความระมัดระวังตัว เหม่อลอย ใจลอย ขาดสติ บางครั้งเหยื่อไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัว เพราะมัวแต่คุยโทรศัพท์มือถือ หรือฟังเพลงจาก I POD,นั่งอ่านหนังสือ หรือดูทีวี โดยไม่ใส่ใจที่จะระวังตัว


3. เดินคนเดียว หรืออยู่คนเดียวในสถานที่เปลี่ยว จริงๆ คำว่าสถานที่เปลี่ยวไม่จำเป็นต้องเป็นที่รกร้าง ห่างไกล อยู่ในไร่น่า ป่าทึบ แม้แต่บ้านคุณเอง หรือในซอยบ้านของคุณเอง หรือริมถนนใหญ่ ก็อาจเป็นสถานที่เปลี่ยวได้เหมือนกัน ถ้าในเวลาขณะนั้นไม่มีคนอยู่เลย ซึ่งอาจเกี่ยวเนื่องในข้อถัดไป


4. เดินคนเดียวหรืออยู่คนเดียวในยามวิกาล หรือในช่วงฝนตกหนัก ลักษณะคล้ายกับข้อ 3 เพราะในยามวิกาลมักจะไม่มีผู้คน โดยเฉพาะค่ำคืนในช่วงฝนตกหนัก ผู้คนส่วนมากมักจะอยู่ในบ้าน หรือในที่ทำงานกัน ทำให้ถนนหนทางปลอดจากผู้สัญจรไปมา อีกทั้งการร้องขอความช่วยเหลือในขณะที่ฝนตกหนัก มักจะไม่มีใครได้ยิน


5. คุ้มค่ากับการลงมือ เหยื่อทำตัวเหมือนตู้ทองเคลื่อนที่ มีทรัพย์สินมาก หรือมีรูปร่างหน้าตาสวยดึงดูดใจคนร้าย มีผู้เข้ารับการอบรมบางรุ่นบอกว่า “อจ. ขาหนูไม่กลัวค่ะ เพราะหนูมีใบหน้าเป็นอาวุธอยู่แล้ว!” กรุณาอย่าไปคิดอย่างนั้นครับ เพราะคุณไม่สามารถรู้ได้เลยว่าคนร้ายชอบผู้หญิงที่มีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร? หน้าตาของคุณอาจบังเอิญเป็น SPEC ของคนร้ายก็ได้ขอรับ


6. ถ้าเป็นเหยื่อผู้หญิง คนร้ายจะชอบผู้หญิงที่ไว้ผมยาว หรือถักเปียซึ่งสามารถกระชากจากด้านหลังได้ง่าย


7. กรณีผู้ก่ออาชญากรรมทางเพศ มักจะเลือกเหยื่อที่สวมเสื้อผ้าซึ่งถอดออกง่าย

ดังนั้นหากเราไม่ต้องการเป็นเหยื่อของคนร้าย ก็ควรปฏิบัติตัวให้ตรงกันข้ามกับลักษณะเหยื่อที่คนร้ายปราถนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการ STAY ALERT มีความตื่นตัว และมีสติในทุกขณะจิตเมื่อก้าวเท้าออกจากสถานที่ๆ คุณคิดว่าปลอดภัยไม่ว่าจะเป็นบ้าน หรือที่ทำงาน นับเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการฝึกหลักสูตร “พาตนให้พ้นภัย” ของสถาบัน Easy Defense Club


เมื่อคนร้ายเลือกเหยื่อได้แล้ว ขั้นตอนต่อไป คนร้ายมักจะสะกดรอยตามเพื่อดูเหยื่ออีกครั้งว่า มีคุณสมบัติคุ้มค่ากับการลงมือหรือไม่ (มีทรัพย์สินที่ต้องการไหม? , เหยื่อระวังตัวหรือไม่? , รูปร่างหน้าตาถูก SPEC มั้ย? เป็นต้น ) เมื่อคนร้ายแน่ใจแล้วก็จะหาจุดลงมือทำการ ด้วยการเดินเข้าหาเหยื่อ อาจแกล้งเข้าไปสอบถามเส้นทาง เมื่อประชิดตัวเหยื่อได้แล้วก็จะแสดงตัวเป็นคนร้าย ชักอาวุธออกมาข่มขู่ อาจมีการลงมือทำร้ายเพื่อให้เหยื่อกลัว และยินยอมส่งทรัพย์สินให้ หรือยินยอมที่จะเดินตามคนร้ายไปเพื่อหาที่ข่มขืน ซึ่งครั้งหน้าจะนำเสนอวิธีปฏิบัติตัวเมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนร้าย ในลำดับถัดไป อยากให้ผู้อ่านทุกท่าน พึงระลึกเสมอว่าทักษะสำคัญกว่าความรู้ สติสำคัญกว่าอาวุธ


ขอให้ทุกท่านปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวงครับ

เรียบเรียงโดย นาย อ่อนหัด
ขอขอบคุณข้อมูลงานวิจัยจากคุณ อลิสา แสงขำ และความรู้จากJOEdogtag

Monday, February 15, 2010

ฝึก Martial Art แล้วได้อะไร?

ฝึก Martial Art แล้วได้อะไร?



สำหรับเด็กที่รักการฝึก Martial Art ก็ไม่แปลกที่จะเริ่มฝึกกีฬาการต่อสู้ตั้งแต่อายุยังน้อย และฝึกต่อเนื่องยาวนานโดยไม่เบื่อหน่ายเพราะความรักความชอบจนกลายเป็นความเคยชิน แต่สำหรับคนที่หันมาฝึก Martial Art เมื่ออายุเลยวัยเรียนนานแล้วจนถึงวัยกลางคน คนกลุ่มนี้แหละที่มักจะฝึกได้ไม่นาน ก็มีอันต้องเลิกราไปเพราะความเบื่อหน่าย เนื่องจากแรงกระตุ้นที่ทำให้เรามาเรียนรู้ฝึกฝนนั้นอ่อนแรงลงตามกาลเวลา หรือพบว่าฝึกไปก็ไม่รุ่งยังไงก็สู้หนุ่มๆสาวๆที่ฝึกอยู่ด้วยกันไม่ได้ เพราะอายุมากเกินไปเรี่ยวแรงร่างกายไม่เอื้ออำนาย ส่วนใหญ่ก็เลยหันมาเข้าฟิตเนส เดินวิ่งจ๊อกกิ้งไปตามประสา ละทิ้งโอกาสที่จะได้ประสพการณ์ดีๆไปอย่างน่าเสียดาย ต่อไปจะขอเล่าเรื่องจริงของชายคนหนึ่ง (สาบานได้ ไม่ใช่ผม) ให้ท่านได้รับรู้เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่าการฝึก Martial Art ให้อะไรกับผู้ฝึกมากกว่าที่มองเห็นด้วยตาเปล่ามากนัก


หลายปีก่อนมีขโมยปีนเข้าบ้านผม (ยืนยันอีกครั้ง ผมในที่นี้ไม่ใช่ผม) พร้อมอาวุธกว่าจะรอดคืนนั้นมาได้ก็ทำให้ผมนอนไม่หลับต่อมาอีกหลายคืน จนผมต้องขวนขวายไปเรียน Martial Art ที่อยู่ใกล้บ้าน ฝึกซ้อมอาทิตย์ละ 3 วัน รู้สึกร่างกายแข็งแรงขึ้น อาการอืออาดปวดเมื่อยตามวัยก็ทุเลาลง แต่ก็นั้นแหละ ฝึกอยู่ได้สัก 1 ปีก็มีอาการเบื่อหน่าย เพราะแรงกระตุ้นเริ่มอ่อนแรงไปทำให้ผมไม่กระตือรือล้นเหมือนเดิม ประกอบกับเรียนไปเรียนมารู้สึกไม่พัฒนาเพราะเราอายุมาก เทคนิคบางอย่างตามชั้นของสายวิชาก็ทำไม่ได้ ทำให้ท้อ พอดีมีเพื่อนเก่ามาทักว่า “ผมผอมลงนะ ดูดีขึ้น” ตอนนั้นผมสูง 156 ซ.ม. หนัก 70 ก.ก. ผมเลยตั้งเป้าหมายใหม่ เลิกคิดเป็นจอมยุทธสายดำ แต่ขอเป็นคนใกล้เกษียณที่แข็งแรงว่องไวและมีหุ่นดีก็พอ เมื่อไม่คิดแข่งขันกับเด็กที่อ่อนวัยกว่า ผมก็หันมาใส่ใจกับเทคนิคแก่นแท้ของวิชาที่ฝึกมากกว่าลวดลายที่แพรวพราวและเมื่อผมตั้งธงไว้ที่การลดน้ำหนักเป็นสำคัญ ผมก็เลยต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินให้สอดคล้องกับเป้าหมายไปด้วย


จากวันที่ผมตัดสินใจตั้งเป้าหมายใหม่ให้กับตัวเองในการฝึก Martial Art จนถึงต้นปี 2553 นับได้ร่วม 2 ปี ผมในวัยใกล้เกษียณยังคงสูง 156 ซ.ม. แต่น้ำหนักลดลงจาก 70 ก.ก. มาเหลือ 60 ก.ก. มีความสุขกับการขุดเอาเสื้อยืดตัวเก่งกับกางเกงยีนส์เอว 32 นิ้ว มาสวมใส่อีกครั้งอย่างมั่นใจ (ทั้งสองอย่างผมไม่กล้าใส่มาหลายสิบปีแล้ว ตั้งแต่เอวมันขยายเป็น 36 นิ้ว) แล้วก็ไม่เคยเบื่อหน่ายที่จะคอยอธิบายให้ใครต่อใครฟังว่าผมไปทำอะไรมา ทำไมถึงได้หุ่นดีและคล่องแคล่วอย่างนี้ ฯลฯ เอ..... นี่ผมจะตั้งเป้าหมายอะไรใหม่ๆให้กับตัวเองดีน้า.....


จากประสบการณ์จริงของผม (ไม่ใช่ผมคนแรก) ขอสรุปยืนยันว่าการฝึก Martial Art สามารถให้อะไรกับเราได้มากมายกว่าความสามารถในการป้องกันตัว ขึ้นอยู่กับว่าเราตั้งเป้าหมายให้เหมาะกับสังขารและไม่ไกลเกินความสามารถที่จะไปให้ถึงได้ ประกอบกับการฝึกฝนเรียนรู้อย่างพินิจพิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับอย่างรอบคอบ ตัดส่วนที่เป็นกระพี้เครื่องประดับประดาออกไป เลือกรับแต่ส่วนที่เป็นแก่นอันแท้จริงของวิชา เราก็อาจก้าวไปสู่อีกโลกหนึ่งที่น่าสนใจสนุกสนานและชวนติดตามไม่รู้เบื่อเลย


เรียบเรียงโดย Snap shot

Tuesday, February 9, 2010

Multiple attackers


Multiple attackers



การเผชิญหน้ากับภัยคุกคามหลายคนถือเป็นฝันร้ายที่สุดอย่างหนึ่งทีเดียว เนื่องจากเราไม่อาจคาดการณ์ได้ว่าคนใดมีอาวุธหรือจะใช้อาวุธอะไรบ้าง มีกลวิธีใดบ้างที่พอจะผ่อนหนักให้เป็นเบา


นาย Loren Christensen อดีตตำรวจและครูสอนเกี่ยวกับการป้องกันตัวได้ให้ข้อคิดเห็นไว้ว่า


1. คุณต้องคิดให้เร็วและให้ความสนใจต่อการเคลื่อนไหวของภัยคุกคามทันที


2. คิดถึงตำแหน่งที่จะโจมตีไม่ว่าตำแหน่งนั้นอาจทำให้คนร้ายชะงักหรือมีโอกาสเสียชีวิตก็ตาม เช่น บริเวณทัดดอกไม้ (เหนือใบหู) คอ ท้องใกล้ลิ้นปี่ (Solar plexus) ไต อัณฑะ (Groin) หัวเข่า


3. คุณต้องควบคุมการหายใจของตัวเอง ควบคุมความตื่นเต้นและรักษาความตื่นตัวไว้


4. เคลื่อนไหวอย่างไหลลื่นโดยมีสมดุลของร่างกายที่ดี


5. สามารถเพิ่มพลังในการโจมตีด้วยหลักการของคานดีดคานงัด (Beverages) ความเร็วของการโจมตี (Speed of delivery) มวล (Mass)


6. ถ้าคุณต่อสู้ด้วยมือเปล่า ควรระวังไม่ให้มือบาดเจ็บ


นาย Marc MacYoung อดีตผู้รักษาความปลอดภัยที่ประตู หรือ Bouncer (ในต่างประเทศคนเฝ้าประตูมีหน้าที่นำคนเข้างานที่ก่อกวนออกจากงานด้วย) และเป็นนักเขียนเรื่องการป้องกันตัวที่แพร่หลาย ให้คำแนะนำเกี่ยวกับหลักการที่ว่า เลือกการจู่โจม (Single out the mouth) โดยพยายามทำให้ภัยคุกคามหลายคนเหล่านั้นเรียงตัวอยู่ในตำแหน่งแถวเดี่ยว (Single line) เพื่อที่ไม่ให้ทุกคนสามารถเข้าถึงตัวเขาได้ในเวลาพร้อมกัน ใช้วิธีที่เรียบง่ายและพยายามจบการต่อสู้ให้เร็วที่สุด


นาย Geoff Thompson เป็น Bouncer ที่มีชื่อเสียงระดับโลก เขาเคยมีประสบการณ์ในการต่อสู้มากว่า 100 ครั้งและหลายครั้งตัวเขาเองเป็นเป้าหมายของการต่อสู้ แต่เขาชนะการต่อสู้เหล่านั้นมาได้เพราะเขาชิงลงมือก่อนเสมอ ลักษณะหนึ่งของการโจมตีจากภัยคุกคามหลายคน คือ การรุมทำร้าย (Pincer movement) หรือการถูกโจมตีจากภัยคุกคามรอบตัวในเวลาเดียวกัน เขาจะโจมตีก่อนและต่อเนื่องไปเรื่อยๆ หลักการนี้ตรงกับนักดาบญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งชื่อ Miyomoto Musashi ได้กล่าวไว้ว่า เมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูหลายคน คุณต้องชิงลงมือก่อนและโจมตีต่อไปเรื่อยๆจนกว่าภัยคุกคามจะหายไป


กุญแจสำคัญในการชนะการถูกโจมตีจากคนร้ายหลายคนนั้นประกอบด้วย


1. การเคลื่อนไหวตลอดเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ


2. ใช้ความก้าวร้าว


3. ใช้ทักษะการโจมตีที่เหนือกว่า


4. ใช้อาวุธ


นาย Royce Gracie หนึ่งในสมาชิกตระกูล Gracie ที่มีชื่อเสียงในศิลปะการต่อสู้ Gracie Jiu-Jitsu หรือ Brazilian Jiu-Jitsu เห็นด้วยกับหลักการของ MacYoung นอกจากนั้นยังแนะนำอีกว่าควรเลือกต่อสู้กับคนร้ายทีละคนโดยอาจท้าทายกลุ่มคนร้าย ให้คนหนึ่งในกลุ่มนั้นออกมาสู้กับตน


ตำรวจ LAPD ของสหรัฐเคยทำการศึกษาพบว่า ในการวิ่งไล่ตามคนร้ายนั้นมักสำเร็จในระยะไม่เกิน 200 หลาแรก หลังจากระยะนี้แล้วโอกาสไล่ตามจับคนร้ายได้น้อยลงอย่างชัดเจน เราอาจนำข้อมูลนี้มาปรับใช้ได้โดยหากเราวิ่งหนีได้ไกลเกินระยะดังกล่าว คุณมีโอกาสที่จะทำการต่อสู้กับคนร้ายทีละคนได้


สำหรับประชาชนทั่วไปแล้วการวิ่งหนีนั้นดีที่สุดสำหรับการเผชิญหน้ากับภัยคุกคามหลายคน Royce Gracie บอกว่าถึงแม้คุณจะมีมีดพกไว้ที่เอวก็แค่รับมือคนร้ายได้อย่างดีก็สองคนพร้อมกัน หากคุณเคยฝึกการต่อสู้กับคนร้ายหลายคนจะรู้ว่ามีเวลาเพียงไม่กี่วินาทีก่อนที่คุณจะตกอยู่ในวงล้อมของคนร้าย


ในความเห็นของเขาแล้วหากมีคนร้ายมากกว่าหนึ่ง เขาจะใช้ “ปืน”


จะเห็นได้ว่าการต่อสู้กับภัยคุกคามหลายคนนั้นแม้แต่คนที่มีทักษะการต่อสู้ที่ดีก็ยังไม่แน่ใจว่าจะผ่านพ้นออกมาได้ สำหรับประชาชนทั่วไปซึ่งไม่ชำนาญในการต่อสู้ “การหนี” ย่อมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่หากไม่สามารถที่จะหนีได้ทัน มีหลักการที่พอช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้บ้าง ดังนี้


1. หากมีคนร้ายสองคน ตัวเราห้ามอยู่ตรงกลางระหว่างคนร้ายสองคน เพราะเราอาจถูกทำร้ายได้จากทั้งสองคน ให้เคลื่อนตัวเองออกมาเหมือนรูปสามเหลี่ยมโดยแต่ละคนอยู่ที่มุมของสามเหลี่ยม เราต้องมองเห็นการเคลื่อนไหวของคนร้ายทั้งสองคน


2. ประเมินคนร้ายและเลือกที่จะต่อสู้เพียงหนึ่งคนโดยการเคลื่อนตัวเองออกไปทางด้านคนร้ายซึ่งเราจะต่อสู้ด้วย ให้ทั้งสามคนเรียงเป็นแนวเดียวกันโดยคนร้ายที่เราจะสู้ด้วยคอยกั้นกลางระหว่างคนร้ายอีกคนกับตัวเรา (เปรียบเหมือนเป็นกันชนให้กับเรา)


3. ชิงลงมือก่อน


4. เลือกโจมตีไปยังตำแหน่งที่สามารถหยุดคนร้ายได้ (อ่านบทความเรื่อง 4 weak points เพิ่มเติม)


5. หาสิ่งของรอบตัวมาใช้เป็นอาวุธ


6. เคลื่อนที่ตลอดเวลาโดยให้คนที่เรากำลังต่อสู้ด้วยเป็นตัวกั้นระหว่างเรากับคนร้ายอีกคนซึ่งพยายามเข้ามาทำร้ายเรา


7. ป้องกันบริเวณศีรษะของเราให้มาก


8. หนีได้ให้รีบหนี


หากมีคนร้ายมากกว่าสองคนก็ใช้หลักการเดียวกัน คือ พยายามต่อสู้ทีละคนโดยให้คนที่เรากำลังต่อสู้อยู่เป็นตัวกั้นระหว่างเรากับคนร้ายคนอื่นๆ พยายามอย่าอยู่ตรงกลางวงล้อมของคนร้าย เคลื่อนตัวเองออกมาอยู่รอบนอกและรีบหนีเมื่อมีโอกาส


สุดท้ายนี้ขอให้ตั้ง “สติ” ทุกครั้งเมื่อเผชิญเหตุ และขอให้ “พลังจงอยู่กับท่าน”


เรียบเรียงโดย Batman
อ้างอิงเนื้อหาบางส่วนจากบทความเรื่อง Facing Multiple Attackers?
Styles, Attributes and Strategies for Successful Self-Defense ของ Brad Parker
 

Samsung LCD televisions