Monday, February 15, 2010

ฝึก Martial Art แล้วได้อะไร?

ฝึก Martial Art แล้วได้อะไร?



สำหรับเด็กที่รักการฝึก Martial Art ก็ไม่แปลกที่จะเริ่มฝึกกีฬาการต่อสู้ตั้งแต่อายุยังน้อย และฝึกต่อเนื่องยาวนานโดยไม่เบื่อหน่ายเพราะความรักความชอบจนกลายเป็นความเคยชิน แต่สำหรับคนที่หันมาฝึก Martial Art เมื่ออายุเลยวัยเรียนนานแล้วจนถึงวัยกลางคน คนกลุ่มนี้แหละที่มักจะฝึกได้ไม่นาน ก็มีอันต้องเลิกราไปเพราะความเบื่อหน่าย เนื่องจากแรงกระตุ้นที่ทำให้เรามาเรียนรู้ฝึกฝนนั้นอ่อนแรงลงตามกาลเวลา หรือพบว่าฝึกไปก็ไม่รุ่งยังไงก็สู้หนุ่มๆสาวๆที่ฝึกอยู่ด้วยกันไม่ได้ เพราะอายุมากเกินไปเรี่ยวแรงร่างกายไม่เอื้ออำนาย ส่วนใหญ่ก็เลยหันมาเข้าฟิตเนส เดินวิ่งจ๊อกกิ้งไปตามประสา ละทิ้งโอกาสที่จะได้ประสพการณ์ดีๆไปอย่างน่าเสียดาย ต่อไปจะขอเล่าเรื่องจริงของชายคนหนึ่ง (สาบานได้ ไม่ใช่ผม) ให้ท่านได้รับรู้เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่าการฝึก Martial Art ให้อะไรกับผู้ฝึกมากกว่าที่มองเห็นด้วยตาเปล่ามากนัก


หลายปีก่อนมีขโมยปีนเข้าบ้านผม (ยืนยันอีกครั้ง ผมในที่นี้ไม่ใช่ผม) พร้อมอาวุธกว่าจะรอดคืนนั้นมาได้ก็ทำให้ผมนอนไม่หลับต่อมาอีกหลายคืน จนผมต้องขวนขวายไปเรียน Martial Art ที่อยู่ใกล้บ้าน ฝึกซ้อมอาทิตย์ละ 3 วัน รู้สึกร่างกายแข็งแรงขึ้น อาการอืออาดปวดเมื่อยตามวัยก็ทุเลาลง แต่ก็นั้นแหละ ฝึกอยู่ได้สัก 1 ปีก็มีอาการเบื่อหน่าย เพราะแรงกระตุ้นเริ่มอ่อนแรงไปทำให้ผมไม่กระตือรือล้นเหมือนเดิม ประกอบกับเรียนไปเรียนมารู้สึกไม่พัฒนาเพราะเราอายุมาก เทคนิคบางอย่างตามชั้นของสายวิชาก็ทำไม่ได้ ทำให้ท้อ พอดีมีเพื่อนเก่ามาทักว่า “ผมผอมลงนะ ดูดีขึ้น” ตอนนั้นผมสูง 156 ซ.ม. หนัก 70 ก.ก. ผมเลยตั้งเป้าหมายใหม่ เลิกคิดเป็นจอมยุทธสายดำ แต่ขอเป็นคนใกล้เกษียณที่แข็งแรงว่องไวและมีหุ่นดีก็พอ เมื่อไม่คิดแข่งขันกับเด็กที่อ่อนวัยกว่า ผมก็หันมาใส่ใจกับเทคนิคแก่นแท้ของวิชาที่ฝึกมากกว่าลวดลายที่แพรวพราวและเมื่อผมตั้งธงไว้ที่การลดน้ำหนักเป็นสำคัญ ผมก็เลยต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินให้สอดคล้องกับเป้าหมายไปด้วย


จากวันที่ผมตัดสินใจตั้งเป้าหมายใหม่ให้กับตัวเองในการฝึก Martial Art จนถึงต้นปี 2553 นับได้ร่วม 2 ปี ผมในวัยใกล้เกษียณยังคงสูง 156 ซ.ม. แต่น้ำหนักลดลงจาก 70 ก.ก. มาเหลือ 60 ก.ก. มีความสุขกับการขุดเอาเสื้อยืดตัวเก่งกับกางเกงยีนส์เอว 32 นิ้ว มาสวมใส่อีกครั้งอย่างมั่นใจ (ทั้งสองอย่างผมไม่กล้าใส่มาหลายสิบปีแล้ว ตั้งแต่เอวมันขยายเป็น 36 นิ้ว) แล้วก็ไม่เคยเบื่อหน่ายที่จะคอยอธิบายให้ใครต่อใครฟังว่าผมไปทำอะไรมา ทำไมถึงได้หุ่นดีและคล่องแคล่วอย่างนี้ ฯลฯ เอ..... นี่ผมจะตั้งเป้าหมายอะไรใหม่ๆให้กับตัวเองดีน้า.....


จากประสบการณ์จริงของผม (ไม่ใช่ผมคนแรก) ขอสรุปยืนยันว่าการฝึก Martial Art สามารถให้อะไรกับเราได้มากมายกว่าความสามารถในการป้องกันตัว ขึ้นอยู่กับว่าเราตั้งเป้าหมายให้เหมาะกับสังขารและไม่ไกลเกินความสามารถที่จะไปให้ถึงได้ ประกอบกับการฝึกฝนเรียนรู้อย่างพินิจพิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับอย่างรอบคอบ ตัดส่วนที่เป็นกระพี้เครื่องประดับประดาออกไป เลือกรับแต่ส่วนที่เป็นแก่นอันแท้จริงของวิชา เราก็อาจก้าวไปสู่อีกโลกหนึ่งที่น่าสนใจสนุกสนานและชวนติดตามไม่รู้เบื่อเลย


เรียบเรียงโดย Snap shot

1 comment:

Batman said...

การฝึกศิลปะการต่อสู้ (Martial Art) นั้นมีข้อดีอย่างแน่นอนทั้งต่อร่างกายและจิตใจ อีกทั้งในด้านการป้องกันตัวสมัยใหม่ (Self-defense) ก็นำความรู้มาจากศิลปะการต่อสู้เหล่านี้ เพียงแต่นำมาจากหลายๆแขนงเพื่อประยุกต์ใช้ ทำให้การป้องกันตัวมีความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพดีขึ้น ง่ายแก่การเรียนรู้อีกทั้งใช้เวลาฝึกฝนสั้นลง

ดังนั้นคนที่เรียนศิลปะการต่อสู้อยู่ไม่ว่าจะเป็นวิชาใดก็ตาม ไม่จำเป็นต้องหยุดเรียนเพื่อมาฝึกฝนวิชาการป้องกันตัว แต่ควรศึกษาการป้องกันตัวสมัยใหม่ควบคู่ไปด้วยเพื่อเสริมทักษะให้ทันสมัยและนำไปใช้ได้อย่างกว้างขวาง

การเรียนรู้การป้องกันตัวสมัยใหม่เปรียบเหมือนกับการที่ครูฝึกได้ให้เครื่องมือหลายอย่างกับผู้รับการฝึกไว้ใช้ เมื่อพบเจอสถานการณ์วิกฤติเราก็จะมีเครื่องมือให้เลือกใช้ได้หลายอย่างตามความเหมาะสมของสถานการณ์นั้นๆ แต่ถ้าเราเรียนรู้เพียงวิชาเดียวและไม่ทันสมัยก็เหมือนกับว่าเรามีเครื่องมือให้เลือกอยู่เพียงไม่กี่ชิ้นและล้าสมัย ทำให้การแก้ไขเหตุการณ์ร้ายอาจทำได้ไม่ดีนักขาดความยืดหยุ่น (เพราะขาดเครื่องมือ)

แม้แต่ในวงการทหารหรือตำรวจก็ไม่ได้สอนศิลปะการต่อสู้รูปแบบใดรูปแบบหนึ่งโดยเฉพาะ แต่เป็นการต่อสู้ป้องกันตัวแบบผสมผสานซึ่งมีความทันสมัยและนำไปใช้ในสถานการณ์ปัจจุบันได้

ดังนั้นการฝึกการป้องกันตัวสมัยใหม่จึงเหมาะกับประชาชนทั่วไป ไม่ว่าจะเคยฝึกศิลปะการต่อสู้มาแล้วหรือไม่ก็ตาม
Batman

 

Samsung LCD televisions