Wednesday, November 25, 2009

Women’s self-defense in sexual assault




Women’s self-defense in sexual assault


ในปี พ.ศ. 2549 ไทยติดอยู่ในกลุ่ม 68 ประเทศ (จาก 189 ประเทศที่มีการสำรวจ) ที่มีสถิติคดีข่มขืนเพิ่มขึ้นมากที่สุด โดยพบคดีที่เกี่ยวกับชีวิต ร่างกาย และเพศ อาทิ ทำร้ายร่างกาย ข่มขืนฆ่ากันตาย สูงถึง 33,669 คดี จำนวนคดีข่มขืนที่เพิ่มมากขึ้น สะท้อนให้เห็นจิตใจของคนในสังคม ที่ไม่รับรู้ความทุกข์ของผู้อื่น

รายงานจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติล่าสุดพบว่ามีคดีข่มขืนในครึ่งแรกปี พ.ศ. 2552 ถึง 4,644 คดี ซึ่งคดีเหล่านี้ผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความแต่เชื่อว่ายังมีอีกเป็นจำนวนมากที่ไม่กล้าเข้าแจ้งความ สำหรับการเกิดเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นในพื้นที่กรุงเทพฯ 12% ของคดีทั้งหมดและคดีที่ขึ้นสู่ศาลเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า เมื่อเทียบกับ10 ปีที่แล้ว หรือเฉลี่ยมีผู้หญิงที่ถูกข่มขืนและแจ้งความวันละ 12 ราย แต่มีผู้ถูกข่มขืนเพียง 5% เท่านั้นที่ไปแจ้งความ ขณะที่สถานการณ์และรูปแบบการข่มขืนได้เปลี่ยนไปจากอดีตโดยผู้กระทำผิดไม่ใช่คนแปลกหน้าเพราะจากสถิติพบว่า 80% ของผู้กระทำผิดเป็นคนที่เหยื่อรู้จักหรือคนที่ไว้วางใจ เช่น คนในครอบครัว คู่รัก เพื่อน ครู นายจ้าง ผู้บังคับบัญชาเป็นผู้ประกอบอาชีพหลากหลายและเป็นผู้ที่มีการศึกษา นอกจากนี้พบว่าเหยื่อการข่มขืนไม่ใช่เฉพาะหญิงสาวเท่านั้น แต่มีอายุตั้งแต่ 2-80 ปี และเหยื่อที่เป็นเด็กชายมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นด้วย

ในอเมริกามีการศึกษาพบว่า 84 เปอร์เซ็นต์ของเหยื่อรู้จักกับคนร้ายที่มาข่มขืน มากกว่า 60 เปอร์เซ็นต์เกิดเหตุการณ์ในบ้าน นอกจากนั้นพบว่าเหยื่อจะถูกทำร้ายทางร่างกายมากขึ้นหากร้องไห้ขอร้องหรือพยายามอ้อนวอน ประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ของผู้หญิงที่หนีรอดมาได้โดยการร้องเสียงดัง และอีกประมาณ 85 เปอร์เซ็นต์ของผู้หญิงที่หนีรอดมาได้โดยการต่อสู้ขัดขืนอย่างรวดเร็วและรุนแรง

Laura Ann Kamienski เธอเป็นสายดำดั้งหนึ่งเทควันโด (Tae Kwon Do) และเป็นครูสอนการป้องกันตัวสำหรับผู้หญิง (Women's self-defense instructor) มาหลายปี ทั้งตัวเธอเองและเพื่อนของเธอคนหนึ่งซึ่งเป็นสายดำดั้งสามเทควันโดเคยเข้าสัมมนาเกี่ยวกับการป้องกันตัวครั้งหนึ่ง ซึ่งในการฝึกซ้อมนั้นไม่ว่าเธอหรือเพื่อนของเธอไม่มีใครสามารถหยุดการจู่โจมได้เลย ทำให้เธอเปลี่ยนมุมมองของการฝึกและพยายามหาคำตอบ

เธอรวบรวมข้อมูลและเนื้อหาของหลักสูตรการป้องกันตัวสำหรับผู้หญิงจำนวนมาก พบว่ามีความไม่สอดคล้องกันระหว่างสิ่งที่สอนกับสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นจากคำบอกเล่าของเหยื่อ

การจะเป็นหลักสูตรป้องกันตัวสำหรับผู้หญิงที่ดีได้นั้นจำเป็นต้องมีปัจจัยหลายประการ เช่น ความรู้เรื่องการโจมตีของคนร้ายในสถานการณ์จริง (Actual attacks) โดยความรุนแรงทางเพศกับความรุนแรงในครอบครัวเป็นภัยคุกคามสำหรับผู้หญิงที่พบบ่อยที่สุด (จากการศึกษาของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ)

สื่อโทรทัศน์และภาพยนตร์มักให้ภาพลักษณ์ของการถูกข่มขืนที่ผิด เช่น คนร้ายมักเป็นชายแปลกหน้า หน้าตาอัปลักษณ์ แต่งตัวสกปรก หยาบกร้าน ย่องเข้ามาจู่โจมเหยื่ออย่างเงียบๆแล้วผลักเข้าป่าข้างทาง เหยื่อมักต่อสู้แบบไม่มีประสิทธิภาพและถูกช่วยด้วยผู้ชายกล้ามใหญ่หน้าตาดี หรือคนร้ายกลับกลายเป็นพระเอกเสียเองในตอนสุดท้าย เป็นต้น ซึ่งในความเป็นจริง 84 เปอร์เซ็นต์ของคนร้ายจะรู้จักเหยื่อ และเหยื่อจำนวนไม่น้อยยังอายุน้อยมาก

ความรุนแรงในครอบครัวก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้หญิงและเด็กมักตกเป็นเหยื่อ ในประเทศไทยยังไม่มีการศึกษาอย่างเป็นระบบ แต่ในสหรัฐพบว่าความรุนแรงในครอบครัวเป็นสาเหตุอันดับต้นๆของการบาดเจ็บของผู้หญิงอายุ 15 ถึง 44 ปี (มากกว่าอุบัติเหตุจากรถจักรยานยนตร์ การจี้ชิงทรัพย์และการตายจากมะเร็งรวมกันเสียอีก)

ดังนั้นการประทุษร้ายทางเพศนั้นจึงเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมากในการเผชิญเหตุ หลักสูตรการป้องกันตัวสำหรับผู้หญิง (ในอเมริกามีหลักสูตรสอนผู้หญิงโดยเฉพาะ) ส่วนใหญ่มักสอนวิธีในการใช้กำลัง (Physical technique) ในการแก้ไขสถานการณ์ แต่เนื่องจากคนร้ายมักรู้จักกับเหยื่อดังนั้นหลักสูตรที่ดีควรสอนการระแวดระวังภัยซึ่งอาจเกิดจากเพื่อนสนิท คนรู้จัก แฟน เพื่อนบ้าน หรือแม้แต่สามีของตนด้วย ควรสอนการเปลี่ยนแปลงทางด้านอารมณ์และสภาพจิตใจของความสัมพันธ์ระหว่างเหยื่อกับคนร้ายซึ่งเป็นคนรู้จัก

ประการที่สอง คือ การส่งเสริมความนับถือตัวเอง (Promotes self-esteem) หลักสูตรที่ดีควรส่งเสริมผู้รับการฝึกให้เห็นถึงคุณค่าและความนับถือตัวเอง เพื่อการป้องกันตัวจำเป็นที่เหยื่อจะต้องเห็นถึงคุณค่าของตนเองมากกว่าคนร้ายและคิดว่าตนเองมีค่ามากพอที่จะปกป้อง

ประการที่สาม คือ หลักสูตรควรส่งเสริมสิ่งที่ผู้หญิงทำได้ดีอยู่แล้วเพื่อการป้องกันตัว นั้นก็คือ การใช้กลยุทธ์ด้านการพูดและการใช้กำลัง (Verbal and physical strategies) เสริมสร้างทักษะในการโน้มน้าว เพิ่มความเชื่อมั่นในการที่จะรับกับสถานการณ์เลวร้ายได้ โดยไม่ใช่มีเพียงแต่การใช้กำลังเท่านั้น

ประการสุดท้าย คือ หลักสูตรที่ดีควรเสริมสร้างบรรยากาศในการรับฟังความคิดเห็นจากผู้เรียน (Feedback) และการใส่ใจ ให้กำลังใจกัน (Support) เพราะสิ่งเหล่านี้สามารถเพิ่มความรู้สึกมีคุณค่าในตัวเองและความเชื่อมั่นได้

มีผู้ที่ให้ความช่วยเหลือเหยื่อที่ถูกข่มขืนได้ให้ความเห็นไว้ว่า จากประสบการณ์ของเขากลยุทธ์ที่ช่วยให้เหยื่อรอดจากการถูกข่มขืนมักประกอบด้วยการพูดจาและการใช้กำลังร่วมกัน

ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายก็อาจตกเป็นเหยื่อได้เพราะส่วนใหญ่คิดว่า เรื่องเลวร้ายเหล่านี้จะไม่เกิด คงไม่เกิด ไม่น่าจะเกิดกับเรา จึงตั้งอยู่ในความประมาท

หลักสูตรการป้องกันตัวนั้นไม่ควรสอนเฉพาะภัยคุกคามที่เห็นเด่นชัดเท่านั้น เพราะในหลายกรณีคนร้ายไม่ใช่คนแปลกหน้าและพวกเขาพยายามใช้กลอุบายทำให้เหยื่ออยู่ในที่เปลี่ยวเพื่อสะดวกแก่การลงมือ ซึ่งคนร้ายมักมีการพูดจาข่มขู่ บีบบังคับเหยื่อเพื่อให้ทำตามที่เขาต้องการ โดยคำพูดเหล่านี้ถือว่าเป็นความตั้งใจที่อาจจะก่อเหตุ

หลายหลักสูตรสอนอยู่บนพื้นฐานของศิลปะการต่อสู้ (Martial art) ที่ครูผู้ฝึกชำนาญ โดยสอนเฉพาะภัยคุกคามจากคนร้ายแปลกหน้าหรือการทำร้ายกันตามท้องถนนเท่านั้น จึงยังขาดข้อมูลสำคัญในสถานการณ์จริงที่ภัยคุกคามส่วนใหญ่เกิดจากคนใกล้ชิดกับเหยื่อ

ครูสอนศิลปะการต่อสู้ (Martial artists) ส่วนใหญ่มักไม่ได้ทำการศึกษาและหาข้อมูลก่อนออกแบบหลักสูตรการป้องกันตัว พวกเขาจึงสอนวิธีใช้กำลังซึ่งดูง่ายดายและคุ้นเคยสำหรับเขา แต่อาจไม่เหมาะสำหรับผู้หญิงซึ่งมีความกลัวเมื่อเผชิญเหตุการณ์ร้าย ส่วนใหญ่จึงมีหลักสูตรสอนการต่อสู้ (Combative course) มากกว่าเนื่องจากขายได้ดีกว่าการป้องกันตัว การใช้ทักษะและข้อมูลของการเกิดเหตุร้ายร่วมกันเพื่อนำไปสู่หลักสูตรการป้องกันตัวที่เหมาะสำหรับผู้หญิงจึงเป็นสิ่งที่สำคัญกว่าหลักสูตรเรียนการต่อสู้

ผู้หญิงหลายคนที่สนใจการป้องกันตัวมักเข้าเรียนศิลปะการต่อสู้รูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ซึ่งมักไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อผู้หญิง การได้ฝึกกับผู้หญิงเท่านั้นอาจดีในแง่ที่สามารถพูดคุยได้ทุกเรื่องแต่การฝึกกับผู้ชายก็อาจช่วยให้คุ้นเคยกับการได้ปะทะกับผู้ชาย เรียนรู้การใช้เสียงดังให้เป็นประโยชน์ เช่น การตะโกนว่า “หยุด! ทำอย่างนั้น ..... เดี๋ยวนี้” เป็นการบอกว่าเราไม่กลัวและอาจตอบโต้กลับ

หลักสูตรการป้องกันตัวที่ดีจึงควรประกอบด้วยการเสริมสร้างความพร้อมในการรับสถานการณ์ทั้งทางร่างกายและจิตใจ อาศัยข้อมูลที่เกิดขึ้นจริงในการฝึกอบรมและฝึกฝนด้วยความปลอดภัย เรียนรู้วิธีเอาตัวรอดจากสถานการณ์วิกฤติโดยใช้สมองมากกว่ากำลัง

สุดท้ายนี้ขอให้ตั้ง “สติ” ทุกครั้งเมื่อเผชิญเหตุ และขอให้ “พลังจงอยู่กับท่าน”

เรียบเรียงโดย Batman
อ้างอิงเนื้อหาบางส่วนจาก หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ 360 องศา รายสัปดาห์ ฉบับวันที่ 26 ต.ค. - 1 พ.ย. 2552, หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ, บทความเรื่อง Women's Self-defense ของ Laura Ann Kamienski

Tuesday, November 17, 2009

States of Awareness - The Cooper Color Codes and Self-Defense





States of Awareness - The Cooper Color Codes and Self-Defense


ซุนวู (Sun Tzu) ผู้แต่งตำราพิชัยสงครามของจีน กล่าวไว้ว่า “ชัยชนะที่ยอดเยี่ยมที่สุด คือ ชัยชนะซึ่งได้มาด้วยการไม่ต้องใช้กำลังต่อสู้” การจะทำเช่นนั้นได้นั้นก็ต้อง รู้เขา รู้เรา และวิเคราะห์เป็น

คนส่วนใหญ่ในสมองมักคิดถึงแต่เรื่องงาน เรื่องส่วนตัวจิปาถะ ไม่ค่อยสนใจ “สิ่งแวดล้อมรอบตัวพวกเขาในขณะนั้น” คุณอาจจะไม่สนใจหรือไม่ใส่ใจกับสภาพแวดล้อมในที่ทำงานทั้งในเวลาทำงานและนอกเวลาทำงาน จนกระทั่งวันหนึ่งคุณถูกทำร้าย ซึ่งหลายครั้งมักให้เหตุผลว่า “เป็นเพราะโชคไม่ดี”

อาชญากรรมส่วนใหญ่เป็นเรื่องของ “โอกาส” คนร้ายมักหาโอกาสที่ง่ายแก่การก่อเหตุ ดังนั้นหากคุณกำจัดโอกาสเหล่านั้นก็เท่ากับว่าคุณตัดโอกาสที่จะเกิดเรื่องเลวร้ายกับคุณ

การใช้วิธีลดหรือหลีกเลี่ยงความเสี่ยง มีความระแวดระวังรับรู้สิ่งรอบกาย (Awareness) ทำให้คุณสามารถเอาชนะคำว่า “โชค” ได้ เรียนรู้ที่จะสังเกตสิ่งแวดล้อมรอบตัว ประเมินสิ่งที่เห็น มีการวิเคราะห์และมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างเหมาะสมต่อสิ่งที่เห็นหรือรู้สึก

Jeff Cooper (บิดาแห่งการยิงปืนสั้นสมัยใหม่) ได้พัฒนาสิ่งที่เรียกว่า รหัสสี หรือ Color Code ขึ้นมา ซึ่งเขาสอนให้ทหารเพื่อใช้ในการรับรู้และเตรียมพร้อมที่จะตอบสนองต่อสถานการณ์สู้รบ ในปัจจุบันระบบนี้ได้รับการสอนให้กับทหารและตำรวจรวมทั้งศูนย์ฝึกอบรมยิงปืนสั้นส่วนใหญ่ด้วย

Color code ยังถูกนำมาใช้ในเรื่องของการป้องกันตัว และถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งสำหรับทุกหลักสูตร

รหัสสีต่างๆบอกถึงความพร้อม (Readiness) ในระดับที่คุณควรรู้ในสถานการณ์หนึ่งๆ เพื่อที่จะได้ตอบสนองต่อสิ่งเหล่านั้นได้อย่างเหมาะสม มันทำให้คุณเตรียมสภาพจิตใจ เครื่องมืออุปกรณ์ให้พร้อมในกรณีที่อาจจะต้องใช้กำลัง

ระบบรหัสสีของการรับรู้ (The Color Code System of Awareness)
ประกอบด้วย 5 สี

- สีขาว (White) ไม่ได้ให้ความสนใจ (Unawareness, not paying attention)

เป็นขึ้นต่ำสุดของระบบเตือนภัย คุณไม่ได้ระแวดระวังภัยจากสิ่งแวดล้อมเลย สีนี้มักเกิดในคนที่เรียกว่า “ฝันกลางวัน (Daydreaming)” หรือภาวะก่อนเกิดเรื่อง ซึ่งคุณจะไม่ได้รับรู้ถึงภัยคุกคามเลยจนกระทั้งมันเกิดขึ้นแล้ว

เหมือนกับคนทั่วๆไปที่พวกคนร้ายกำลังมองหา เพราะพวกเขาจะไม่หางานที่ยากทำ ดังนั้นคนที่ไม่ระแวดระวังจึงเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการ

รหัสสีขาวที่ยอมรับได้ อาทิเช่น คุณอยู่ในบ้านที่ปิดประตูใส่กลอนแน่นหนา เปิดระบบเตือนภัยหรือมีสุนัขเฝ้าบ้าน ในภาวะเช่นนี้คุณสามารถวางใจได้ แต่เมื่อคุณก้าวออกจากบ้านก็จะเข้าสู่รหัส "สีเหลือง" ทันที

- สีเหลือง (Yellow) ให้ความสนใจแต่ยังผ่อนคลายได้ (Attentive, but relaxed)

คุณยังระแวดระวังบางสิ่งหรือบางคนที่ผิดสังเกต ตื่นตัวและรับรู้สิ่งรอบข้าง เป็นการยากที่จะมีสิ่งที่ทำให้คุณประหลาดใจหรือทำอันตรายคุณได้ คุณอาจไม่ได้ถูกจู่โจมวันนี้แต่คุณรู้ว่ามันเป็นไปได้ คุณรู้ว่ามีใครอยู่รอบๆคุณและอยู่ที่ไหน มันจึงเป็นการง่ายที่จะหยุดภัยคุกคามที่กำลังเกิดขึ้นหรือสามารถหลีกเลี่ยงมันได้ และพร้อมที่จะรับสถานการณ์ แต่ถ้าคุณไม่สามารถเลี่ยงมันได้ คุณก็เข้าสู่ “สีส้ม” แล้ว

- สีส้ม (Orange) ให้ความสนใจและมีความเป็นไปได้ที่จะมีภัยคุกคามเกิดขึ้น (Potential threat)

เป็นระดับการเตือนภัยที่สูงขึ้นเมื่อมีภัยคุกคามที่เห็นชัดเจน ความแตกต่างสำคัญระหว่างสีเหลืองกับสีส้มคือ สีส้มนั้นมีสิ่งที่คุณจะต้องให้ความสนใจชัดเจน (Specific target) อาจเป็นคนเพียงคนเดียวหรือหลายคนซึ่งทำให้คุณต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ เช่น คนที่ใส่เสื้อจักเก็ตในหน้าร้อน หรือคนที่เดินเข้าออกประตูอยู่บ่อยครั้ง คนที่คุณเห็นในทุกร้านที่คุณเข้าไป คุณจึงควรประเมินภัยคุกคามและเตรียมรับสถานการณ์

สิ่งที่ช่วยให้คุณประเมินได้ว่าคนนั้นอาจเป็นภัยคุกคาม อาทิเช่น มองหาสิ่งที่ผิดสังเกต ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า ลักษณะภายนอก ท่าทาง ลางสังหรณ์ คำพูดบางอย่างที่เขาพูดกับคุณ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ภาษากาย (Body language) 80 เปอร์เซ็นต์ของการสื่อสารของมนุษย์ใช้ภาษากาย ดังนั้นคนร้ายมักแสดงอะไรบางอย่าง “ก่อน” ที่จะมีความรุนแรงเกิดขึ้นซึ่งเป็นสิ่งที่เราควรมองหา

คุณจะต้องไม่ละความสนใจไปจากบุคคลที่ดึงดูดความสนใจของคุณ แต่ก็ต้องใส่ใจในสิ่งรอบข้างด้วย คุณคงไม่ต้องการมีจุดบอดในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับคนที่คุณกำลังให้ความสนใจอยู่ ภายในเวลาไม่กี่วินาทีคุณจะสามารถประเมินได้ว่าคนนั้นจะเป็นภัยคุกคามหรือไม่ หากไม่ใช่คนร้ายก็สามารถลดระดับเป็น “สีเหลือง” ได้ ถ้าเขาเป็นคนร้ายจริงแต่คุณได้เตรียมพร้อมอยู่แล้วอันตรายก็จะน้อยลง

หากคนนั้นมีลักษณะที่เชื่อได้ว่าน่าจะเป็นภัยคุกคาม คุณควรเริ่มคิดตั้งคำถาม “ถ้าเกิด.....” ในใจเพื่อเตรียมแผนที่จะแก้ไข เช่น ถ้าเกิดเขาทำอะไรบางอย่างแล้วคุณจะแก้ไขอย่างไร เป็นต้น และหากประเมินแล้วแน่ใจว่าเขาเป็นภัยคุกคามแน่ ก็เป็นการเข้าสู่ “สีแดง” ทันที

- สีแดง (Red) มีภัยคุกคามเกิดขึ้นแล้ว (Definite threat)

เป็นภาวะที่คุณเตรียมพร้อมที่จะสู้ ซึ่งอาจเกิดหรือไม่เกิดการต่อสู้จริงๆก็ได้ แต่มีการเตรียมพร้อม “ด้านจิตใจ” แล้ว โดยคุณจะมองหาตัวกระตุ้นทางจิตใจที่สำคัญ (Mental trigger) อาจเป็นการกระทำอะไรบางอย่างจากคนร้าย ซึ่งจำเป็นที่คุณจะต้องตอบสนองด้วยการป้องกันตัวเอง

ปัจจัยสำคัญของความสำเร็จอยู่ที่ “เวลาในการตอบสนองต่อภัยคุกคาม” ถ้าคุณไม่ได้สนใจสิ่งแวดล้อมหรือมองหาสิ่งที่บ่งบอกว่ากำลังจะเกิดภัยคุกคาม คุณอาจไม่มีเวลามากพอที่จะสามารถตอบสนองด้วยการป้องกันตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ

- สีดำ (Black) คุณกำลังต่อสู้ (Fighting)

เป็นช่วงเวลาที่คุณใช้กำลังเข้าปะทะกับคนร้าย มีการกระตุ้นทางจิตใจและร่างกายตอบสนอง มีเพียงทางเดียวคือมุ่งไปข้างหน้าใช้ความรุนแรงมากเท่าที่จะสามารถทำให้คนร้ายอ่อนกำลังลง ไม่มีเวลาที่จะมาเสียใจหรือกลัว คุณเพียงแค่กระทำและไว้ใจในสิ่งที่คุณฝึกฝนมา

ระบบสีเหล่านี้จะมีประโยชน์เมื่อคุณตกอยู่ในภัยคุกคามต่อชีวิต ซึ่งคุณจะมีความท้าทาย 3 อย่างที่ยากลำบาก คือ
- รับรู้ถึงคนร้ายได้ทันเวลา
- ตระหนักและรับรู้ได้ว่า “คนนี้แหละ” ที่จะมาฆ่าคุณแน่ๆ ถ้าคุณไม่หยุดเขาเสียก่อน และ
- หักห้ามความลังเลที่จะใช้ความรุนแรงตอบโต้ต่อคนอื่น

คนร้ายมักเดินตรงมาที่คุณซึ่งไม่ได้สังเกตสิ่งแวดล้อมแล้วเข้าทำร้าย เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ได้ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมรอบตัวพวกเขา เราต้องเรียนรู้ที่จะให้ความสนใจแล้วคุณจะเห็นสัญญาณเตือนก่อนที่จะเกิดเรื่องและจะสามารถตอบสนองได้อย่างมีประสิทธิภาพ

มันเป็นการยากที่จะทำให้สุจริตชนเข้าใจว่าพวกเขาอยู่ท่ามกลางคนที่ไม่ดี คนที่อาจฆ่าคุณเพราะกระเป๋าสตางค์เพื่อนำเงินไปซื้อยาเสพติด อาจข่มขืนคุณเพียงเพราะรู้สึกว่าตนเองอ่อนแอจึงต้องการแสดงอำนาจเหนือบุคคลอื่น อาจฆ่าคุณเพียงเพื่อต้องการเลื่อนระดับชั้นในแก๊งอันธพาล และที่แย่ที่สุดก็คือ การที่ไม่มีเหตุผลเลย

สุจริตชนทั่วไปมักมีความลังเลที่จะทำร้ายคนอื่นแม้มันจะสมเหตุสมผลก็ตาม เราต้องสามารถข้ามอุปสรรคนี้ไปให้ได้ในยามที่ชีวิตของเราตกอยู่ในอันตราย

ด้วยระบบรหัสสี (Color codes) นี้จะช่วยให้คุณข้ามอุปสรรคนี้ไปได้ สามารถเตรียมสภาพจิตใจและร่างกายให้พร้อมที่จะป้องกันตนเองหากสถานการณ์นั้นไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

มีคำแนะนำที่น่าสนใจกล่าวว่า ทุกเช้าที่ตื่นนอนให้บอกกับตัวเองว่า “วันนี้เราอาจต้องใช้สิ่งที่ฝึกฝนมาเพื่อป้องกันตัว” การพูดเช่นนี้บ่อยๆจนเข้าไปสู่จิตใต้สำนึกซึ่งเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนชีวิตมนุษย์ถึง 90 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียวอาจช่วยชีวิตคุณได้ในสถานการณ์วิกฤติ นอกจากนั้นเมื่อเข้าสู่ “สีส้ม” ให้บอกกับตัวเองว่า “เราอาจต้องทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสในวันนี้” เป็นการเตรียมพร้อมสภาพจิตใจก่อนเผชิญเหตุ

จงจำไว้ว่า “ความระแวดระวัง (Awareness) และการหลีกเลี่ยง (Avoidance) เป็นกลยุทธ์ป้องกันตัวที่ดีที่สุด” สิ่งแรกที่การป้องกันตัวควรนำมาใช้ก่อนคือ การหลีกเลี่ยง จงเชื่อใจในสัญชาติญาณและทำตามโดยไม่ลังเล ฝึกใช้รหัสสี (Color codes) ทุกวันและผนวกมันเข้ากับการฝึกและชีวิตประจำวัน

จะเห็นได้ว่าการป้องกันตัวนั้นเริ่มจากการ “มีสติ” อยู่ตลอดเวลา มีความระแวดระวัง เปิดหู เปิดตา สนใจสิ่งแวดล้อม มองหาสิ่งที่อาจเป็นภัยคุกคาม ประเมินสถานการณ์ เตรียมความพร้อมทั้งทางจิตใจและร่างกาย ตอบสนองอย่างเหมาะสมต่อภัยคุกคามที่เกิดขึ้นโดยไม่ลังเล

สุดท้ายนี้ขอให้ตั้ง “สติ” ทุกครั้งเมื่อเผชิญเหตุ และขอให้ “พลังจงอยู่กับท่าน”

เรียบเรียงโดย Batman
อ้างอิงเนื้อหาบางส่วนจากบทความเรื่อง States of Awareness - The Cooper Color Codes and Self-Defense ของ self-defense-mind-body-spirit.com


Thursday, November 12, 2009

Choosing an Aircrew Self-Defense Training Program




 
Choosing an Aircrew Self-Defense Training Program


นาย Henry Williamson ซึ่งเป็น First officer (นักบินมือสองซึ่งมีอำนาจรองจาก Captain หรือบางครั้งเรียกว่า Co-pilot) ได้ให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการเลือกเรียนหลักสูตรการป้องกันตัวสำหรับนักบิน (Pilot) และพนักงานบริการบนเครื่องบิน (Flight attendants) ไว้อย่างน่าสนใจ

ตั้งแต่ก่อนเหตุการณ์ 9/11 เมื่อปี 2001 (ผู้ก่อการร้ายจี้เครื่องบินสหรัฐชนตึก World trade center และ Pentagon ของอเมริกา) ทั้งนักบินและลูกเรือต้องการเครื่องมือในการจัดการความรุนแรงบนเครื่องบิน อาทิเช่น ความวุ้นวายที่เกิดจากผู้โดยสารที่โกรธจัดเอะอะโวยวาย เมาเหล้า หรือสภาพจิตที่ผิดปกติ ซึ่งอาจทำอันตรายลูกเรือได้ ในขณะที่ผู้ก่อการร้ายมีจุดประสงค์เพื่อให้เกิดความเสียหายในวงกว้างหากไม่ได้รับการจัดการอย่างถูกต้อง แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจมากนัก หลังจากเหตุการณ์นั้นอุตสาหกรรมการบินและรัฐบาลเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการฝึกการป้องกันตัวให้กับลูกเรือ

ต่อมาได้มีการออกกฎหมายให้นักบินมีอาวุธเพื่อต่อต้านการก่อการร้ายและกำหนดให้มีการฝึกอบรมการป้องกันตัวให้กับลูกเรือทุกคน เนื่องจากเวลาอันจำกัดทั้งนักบินและลูกเรือต้องการรูปแบบการฝึกที่มีความก้าวหน้ามากกว่าเก่าซึ่งต้องใช้เวลาเรียนนานกว่าจะสามารถป้องกันตัวเองได้





นาย Henry Williamson เคยผ่านการฝึกศิลปะการต่อสู้มาหลายแขนง รวมทั้งจากประสบการณ์ที่เคยเป็นผู้รักษากฎหมายและเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยการบิน และเคยเข้าฝึกหลักสูตรการป้องกันตัวทั้งจากภาครัฐและเอกชน เขาได้ประมวลหลักการที่คิดว่าลูกเรือควรใช้เพื่อเลือกเรียนหลักสูตรป้องกันตัวที่เหมาะสม

ประการแรก ลูกเรือมีเวลาไม่มากนักที่จะฝึกฝนจึงควรเน้นที่การป้องกันตัวในสภาพการทำงานจริง ก็คือ ที่ชั้นผู้โดยสารหรือห้องนักบิน (cabin/flight deck self-defense) เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เรียนรู้สถานการณ์ที่ไม่ปกติ รู้จักหาสิ่งของรอบกายมาเป็นอาวุธ รวมทั้งวิธีการป้องกันตัวที่มีประสิทธิภาพ

ประการที่สอง การฝึกเหล่านี้ไม่ได้ตั้งเป้าไปที่ การเพิ่มความมั่นใจหรือความแข็งแรงของร่างกาย แต่เรียนรู้วิธีที่จะเอาตัวรอด จะเห็นได้ว่าหลายคนที่เก่งในศิลปะการต่อสู้แต่กลับไม่มีทักษะที่จะป้องกันตัวเองหรือเอาตัวรอดเมื่อเผชิญเหตุการณ์จริง ด้วยครูฝึกที่ดีและมีทัศนคติที่ถูกต้องนักเรียนก็จะสามารถได้รับทักษะที่มีค่าเมื่อเข้ารับการฝึกอบรม

สิ่งที่ต้องพิจารณา
สิ่งแวดล้อม ภายในชั้นผู้โดยสารและห้องนักบินเป็นสถานที่ที่คับแคบมาก (Very confined spaces) อีกทั้งมีสิ่งกีดขวางจำนวนมากเป็นการยากที่จะเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ดังนั้นการเตะสูง (เหนือท้อง) หรือท่าสวยๆ เช่น การกระโดด การหมุนรอบ (spinning) จึงไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสมสำหรับลูกเรือที่จะเรียนรู้

ห้องเตรียมอาหาร ห้องน้ำ และทางเดินบนเครื่องบินเป็นสามจุดบอดซึ่งลดเวลาการตอบสนองต่อภัยคุกคามของลูกเรือ การจู่โจมอาจเกิดขึ้นได้โดยไม่มีการเตือนและในระยะใกล้ (ระยะห่างน้อยกว่า 2 ฟุต) ดังนั้นวิธีในการตอบโต้จึงควรเน้นที่ความรวดเร็ว ใช้ได้ผลในระยะใกล้มากกว่าวิธีที่ใช้ในระยะห่าง

การโจมตี (Striking) และการควบคุมคู่ต่อสู้ (Grappling) การป้องกันตัวที่ดีควรเน้นที่การโจมตีและการควบคุมคู่ต่อสู้ด้วย ซึ่งการโจมตีส่วนมากคือ การชก แต่ควรสอนการใช้ ศอก เข่า รวมทั้งการเตะต่ำ ส่วนการควบคุมคู่ต่อสู้อาจรวมไปถึงการทำให้คู่ต่อสู้ล้มลงกับพื้น (Takedown) หรือการทำให้คู่ต่อสู้ไม่สามารถตอบโต้ได้

อย่าคิดว่าจะเหมือนในภาพยนตร์ เพราะการต่อสู้จริงๆมักจบลงภายในเวลาไม่กี่วินาที เนื่องจากทั้งคู่หรือคนใดคนหนึ่งแยกออกมาเอง (คนส่วนใหญ่ไม่ต้องการที่จะต่อสู้กันอยู่แล้ว) เลิกคิดถึงหมัดเด็จที่จะล้มคู่ต่อสู้ได้ เพราะส่วนใหญ่มักจบลงด้วยการควบคุมคู่ต่อสู้เสียมากกว่าโดยเฉพาะทำให้คู่ต่อสู้ล้มลงกับพื้น

การต่อสู้บนพื้น (Ground fighting skills) ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันหรือตอบโต้ลูกเรือก็ควรเรียนรู้ไว้ นอกจากนั้นควรสามารถนำมาประยุกต์กับการต่อสู้ในท่านั่ง เนื่องจากลูกเรืออาจถูกจู่โจมในขณะที่นั่งอยู่กับเก้าอี้ก็ได้

ความสมจริง (Realism) ฝึกในสถานการณ์ที่ใกล้เคียงกับที่อาจเกิดขึ้นบนเครื่องบิน ดังคำกล่าวของเหล่าทหารที่ว่า “จงฝึกในสภาพที่คุณจะต้องต่อสู้ (Train the way you fight)”

ดังนั้นผู้รับการฝึกจึงควรต้องฝึกด้วยการปะทะจริง มีการใช้กำลัง มีการต่อต้านจากฝ่ายตรงข้าม โดยอยู่บนพื้นฐานของความปลอดภัยในการฝึกไม่ให้เกิดการบาดเจ็บ การใส่ชุดป้องกันในบางกรณีจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง

ศิลปะการต่อสู้ในแถบเอเชียส่วนใหญ่มักมีรูปแบบในการเคลื่อนไหวของการต่อสู้แน่นอนและต้องใช้เวลานานในการเรียนรู้ ซึ่งอาจไม่เหมาะกับลูกเรือที่ควรเรียนรู้สิ่งที่จะนำมาใช้ได้ในสถานการณ์จริงในเวลาอันจำกัด

อาวุธ (Weapons) เนื่องจากกฎระเบียบลูกเรือจึงถูกห้ามพกพาอาวุธบนเครื่องบิน แต่ก็สามารถหาอาวุธจากสิ่งที่อยู่รอบกายได้ เช่น ขวานสำหรับใช้ในกรณีฉุกเฉิน (Crash axes) ถังดับเพลิง หรือขวดไวน์ เป็นต้น อาวุธส่วนใหญ่ที่คนร้ายใช้มักเป็นมีดพกหรือปืนพกมากกว่าจะเป็นดาบซามูไรหรือวัตถุยาวหกฟุต ดังนั้นจึงควรเรียนรู้วิธีป้องกันตัวจากอาวุธเหล่านี้เป็นหลัก

ข้อจำกัดทางร่างกาย (Physical limitations) ในอุดมคติลูกเรือก็ควรจะอยู่ในสภาพที่ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงที่สุดเพื่อจะสามารถเผชิญเหตุร้ายได้ดี แต่ในความเป็นจริงไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ แน่นอนว่าในสถานการณ์ความเป็นความตายนั้นความสมบูรณ์ของร่างกายย่อมเป็นปัจจัยสำคัญข้อหนึ่งในการที่จะรอดชีวิต ดังนั้นพยายามหาหลักสูตรที่ท้าทายสภาพร่างกายของคุณ ดังคำที่ใช้ในหมู่ทหารที่ว่า “ยิ่งคุณเหงื่อออกมากเท่าไรตอนฝึก คุณยิ่งเลือดออกน้อยเท่านั้นในสนามรบ (The more you sweat in training, the less you bleed in combat)” แต่ก็ต้องยอมรับว่าจะมีลูกเรือบางส่วนมีสภาพร่างกายไม่แข็งแรงพอที่จะรับการฝึกให้ครบตามหลักสูตรได้

รูปแบบและคุณภาพการสอน (Instructional quality and style) สำหรับการฝึกฝนในระยะยาว ลูกเรือแต่ละคนควรเลือกโรงเรียนหรือครูฝึกส่วนตัวเพื่อเสริมสร้างทักษะ มีหลักในการเลือกดังนี้ ในชั้นเรียนควรเป็นผู้ใหญ่ทั้งหมด เนื่องจากการฝึกป้องกันตัวไม่ใช่กิจกรรมสำหรับครอบครัว การมีเด็กอยู่ด้วยจะทำให้ความเข้มข้นของการฝึกลดลง

หลีกเลี่ยงหลักสูตรที่เน้นไปที่การแข่งขันหรือการจัดอันดับ สายคาดเอวสี่ต่างๆหรือถ้วยรางวัลไม่ได้เป็นตัวบอกว่าคุณสู้ได้เก่งในชีวิตจริง และถ้าครูฝึกโอ้อวดว่าตนเองมีประสบการณ์ต่อสู้ด้วยมือเปล่ามาอย่างโชกโชน ก็ให้เดินหนีได้เลยเพราะคนส่วนใหญ่ในวัยกลางคนก็สามารถทำเช่นนั้นได้เช่นกันโดยมีบาดแผลเพียงเล็กน้อย แต่ถ้าสิ่งที่เขาโม้ไว้เป็นเรื่องจริงก็ต้องสงสัยในเรื่องการตัดสินใจหรือการควบคุมตนเองของครูฝึกแล้ว ครูฝึกที่เป็นตำรวจหรือทหารหน่วยพิเศษที่มีประสบการณ์ในการป้องกันตัวด้วยมือเปล่าก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีทางหนึ่ง

โดยสรุปยังไม่พบว่าศิลปะการต่อสู้รูปแบบใดรูปแบบเดียวจะเหมาะสมกับการใช้งานในเชิงป้องกันตัวสำหรับลูกเรือ (เรียนรู้ได้ง่ายในเวลาอันสั้น ใช้งานได้จริงในพื้นที่คับแคบ มีการโจมตี การตั้งรับ การต่อสู้บนพื้น การควบคุมคู่ต่อสู้) ถ้าคุณมีเงินและเวลามากพอ หลักสูตรการป้องกันตัวสำหรับลูกเรือโดยเฉพาะ (A tailored aircrew self-defense course) น่าจะเหมาะสมที่สุด (แม้แต่ในอเมริกาเองก็ยังไม่แพร่หลาย) สำหรับการฝึกฝนในระยะยาวซึ่งต้องการทักษะหลายด้านนั้น การเรียนมวยสากลหรือมวยไทยจะมีประโยชน์ในแง่ของการโจมตี Brazilian Jiu-Jitsu จะมีประโยชน์ในเรื่องการควบคุมคู่ต่อสู้และการต่อสู้บนพื้น ส่วน Philippine/Indonesian Martial Art เด่นในเรื่องอาวุธ เช่น ไม้และมีด แต่ก็มีบางโรงเรียนที่นำความรู้เหล่านี้มาสอนผสมกันไปซึ่งก็เป็นทางเลือกที่ดีเช่นกัน

การฝึกการป้องกันตัวแบบผสมผสาน (นำความรู้จากหลายวิชามาประยุกต์ให้เข้ากับสถานการณ์) น่าจะเหมาะสมที่สุดสำหรับลูกเรือและบุคคลทั่วไป

สุดท้ายนี้ขอให้ตั้ง “สติ” ทุกครั้งเมื่อเผชิญเหตุ และขอให้ “พลังจงอยู่กับท่าน”

เรียบเรียงโดย Batman
อ้างอิงเนื้อหาบางส่วนจากบทความเรื่อง Choosing an Aircrew Self-Defense Training Program ของ Henry Williamson

Tuesday, November 3, 2009

Choosing Self-defense Class
















Choosing Self-defense Class

National Coalition Against Sexual Assault (NCASA) ได้ให้แนวทางในการเลือกเรียนหลักสูตรป้องกันตัวสำหรับผู้หญิงไว้อย่างน่าสนใจ

ปรัชญาแรกของการป้องกันตัวสำหรับผู้หญิง เราต้องยอมรับว่าผู้หญิงไม่ได้เป็นคนขอ เป็นสาเหตุ หรือต้องการที่จะถูกทำร้าย ถึงแม้ผู้หญิงหรือผู้ชายบางครั้งจะมีความประมาทในเรื่องพฤติกรรมด้านความปลอดภัยส่วนตัวก็ตาม แต่พวกเขาเหล่านั้นก็ไม่ควรต้องรับผิดชอบต่อการถูกทำร้ายร้างกายที่เกิดขึ้น คนร้ายต่างหากที่ควรเป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำเลวร้ายเหล่านั้น

ปรัชญาที่สอง เมื่อผู้หญิงตัดสินใจที่จะกระทำการป้องกันตัว ไม่ว่าได้กระทำหรือไม่ได้กระทำอะไรก็ไม่ถือว่าเป็นความผิด เราควรให้ความเครพต่อการตัดสินใจที่จะพยายามเอาชีวิตรอดของพวกเขา

ปรัชญาที่สาม หลักสูตรสอนการป้องกันตัวที่ดีนั้นไม่ควร “บอก” ว่าใคร “ควรทำ” หรือ “ไม่ควรทำอะไร” แต่ควรบอกทางเลือก (Options) วิธีการทำ (Techniques) และวิธีการวิเคราะห์สถานการณ์ ภายในหลักสูตรเหล่านั้นอาจบอกว่าวิธีใดโดยปกติใช้ได้ผลดีในสถานการณ์ส่วนใหญ่ แต่การตัดสินใจสุดท้ายขึ้นอยู่กับบุคคลที่กำลังเผชิญเหตุอยู่เนื่องจากอาจมีความแตกต่างของสถานการณ์ได้อย่างมากมาย

การป้องกันตัวนั้นประกอบด้วย ความตื่นตัว (Awareness) ความมั่นใจ (Assertiveness) ทักษะการพูด (Verbal confrontation skill) กลยุทธ์ด้านความปลอดภัย (Safety strategies) และวิธีการใช้กำลัง (Physical techniques) ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้ประสบความสำเร็จในการ “หนี ต่อต้านคนร้าย หรือมีชีวิตรอด” หลักสูตรที่ดีควรให้ความรู้ด้านจิตวิทยา (Psychological awareness) และทักษะด้านการใช้คำพูดร่วมด้วย ไม่ใช่สอนแค่วิธีการใช้กำลังในการแก้ไขสถานการณ์เท่านั้น

การฝึกการป้องกันตัว (Self-defense training) สามารถเพิ่มทางเลือกและช่วยคุณในการตอบสนองต่อการถูกทำร้ายได้ การป้องกันตัวก็เหมือนเครื่องมือชนิดหนึ่งถ้าคุณรู้จักมันดี รู้ว่ามันใช้งานอย่างไร รู้ข้อจำกัดของมัน ข้อมูลเหล่านี้ก็ช่วยคุณในการตัดสินใจที่จะใช้มัน

การป้องกันตัวนั้นไม่อาจรับประกันได้ว่าคุณจะปลอดภัยจากการถูกทำร้ายได้อย่างแน่นอน แต่การฝึกการป้องกันตัวทำให้คุณมีทางเลือกหรือมีความพร้อมมากขึ้นเมื่อเผชิญสถานการณ์ที่เลวร้าย

ไม่มีมาตรฐานชัดเจนสำหรับหลักสูตรป้องกันตัว บางหลักสูตรสอนแค่ 4 ชั่วโมงจนถึงหลายเดือน แต่ไม่ว่าหลักสูตรจะนานมากน้อยแค่ไหนก็ควรตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่า ควรสอนทางเลือกให้มาก วิธีการเรียบง่าย และผู้หญิงควรทำได้

ครูฝึกอาจเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ได้ เพราะหลักสูตรที่ดีขึ้นกับปรัชญา ความรู้ วิธีการสอน ของผู้สอนมากกว่าเพศของครูฝึก ถึงแม้บางครั้งการมีครูฝึกเป็นผู้หญิงอาจสะดวกมากขึ้นเมื่อต้องการปรึกษาปัญหาบางอย่างที่มีความอ่อนไหว แต่การได้ฝึกซ้อมกับผู้ชายก็อาจดีในแง่เพิ่มความคุ้นเคยกับการป้องกันตัวกับผู้ชาย สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ครูฝึกไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายต้องสร้างความมั่นใจ ความสามารถและความแข็งแรงให้กับนักเรียนได้ ความรู้สึกปลอดภัยและการสร้างความไว้ใจต้องมาก่อนการเรียนรู้

การป้องกันตัวไม่จำเป็นต้องเรียนกันหลายปี ในหลักสูตรขั้นพื้นฐานนั้นใช้เวลาเรียนไม่นาน เพียงแค่ให้หลักการการป้องกันตัว วิธีการพื้นฐาน แล้วคุณฝึกฝนหรือเรียนรู้เพิ่มเติมต่อไปได้ การป้องกันตัวไม่ใช่การเรียนคาราเต้หรือศิลปะการต่อสู้ (Martial art training) มันไม่ได้ต้องการเวลาหลายปีเพื่อความสมบูรณ์แบบ

หลายคนสงสัยว่าถ้าเราใช้กำลังในการป้องกันตัวนั้นจะทำให้เราเจ็บตัวมากขึ้นหรือไม่ ก่อนที่จะตอบคำถามนี้ต้องขอถามว่า “เจ็บตัวมากขึ้น” นั้นหมายถึงอย่างไร ผู้หญิงที่เคยถูกข่มขืนหลายคนต่างยังมีความเจ็บปวดทางด้านจิตใจอยู่แม้บาดแผลทางร้างกายนั้นได้หายไปแล้ว มีการศึกษาพบว่าการป้องกันตัวโดยใช้กำลังไม่ได้เพิ่มระดับการบาดเจ็บแต่อย่างใด อีกทั้งหลายกรณีกลับลดลงเสียด้วย อีกทั้งผู้หญิงที่ทำตามคนร้ายตลอดก็ยังอาจถูกทำร้ายอย่างป่าเถื่อนเสียด้วยซ้ำ

จุดประสงค์หลักของการป้องกันตัว คือ การบรรเทาการบาดเจ็บและรีบหนีออกมาจากสถานการณ์นั้นๆให้เร็วที่สุด

หลายหลักสูตรมักโฆษณาว่าเป็นหลักสูตรที่ “ดีที่สุด เหมือนจริงที่สุด ประสบความสำเร็จที่สุด” นั้นก็เป็นเพียงกลเม็ดในการโฆษณาเท่านั้น จงจำไว้ว่าไม่มีหลักสูตรใดสามารถจำลองการทำร้ายร่างกายได้เหมือนจริงที่สุด เพราะในสถานการณ์จริงนั้นมีความแตกต่างกันมาก มีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น อาวุธ สภาพแวดล้อม เป็นต้น จึงอาจอันตรายเกินไปที่จะมาฝึกกันเช่นนั้น

การใช้อาวุธหรืออุปกรณ์ต่างๆมาใช้ในการป้องกันตัวนั้น ประการแรกคือมันจะไม่มีประโยชน์เลยถ้าคุณไม่รู้ว่ามันใช้อย่างไร นอกจากนั้นมันยังต้องพร้อมใช้งานในยามที่เราถูกทำร้ายด้วย และไม่มีการรับประกันได้ว่ามันจะใช้ได้ผล จำไว้ด้วยว่าสิ่งต่างๆที่คุณใช้กับคนร้ายเพื่อป้องกันตัวเองก็อาจถูกนำกลับมาใช้กับตัวคุณเองได้ด้วย ดังนั้นคุณต้องเรียนรู้ข้อจำกัดและความน่าเชื่อถือของอุปกรณ์ต่างๆเหล่านี้

ราคาค่าเรียนนั้นไม่ได้เป็นตัวบอกถึงคุณภาพของหลักสูตร ไม่ใช่ว่ายิ่งแพงยิ่งดี แต่ก็ไม่ได้ให้เราเลือกหลักสูตรที่ถูกที่สุดไว้ก่อน คงต้องใช้วิจารณญาณในการพิจารณา

คุณไม่จำเป็นต้องรูปร่างดีเหมือนนักกีฬาจึงจะเรียนการป้องกันตัวได้ หลักสูตรที่ดีต้องสามารถสอนนักเรียนได้ด้วยความยืดหยุ่น นักเรียนสามารถบอกความต้องการอยากรู้ของตนได้ และในหลายหลักสูตรมีการจัดสอนเฉพาะกลุ่มด้วย

หลักสูตรที่ดีนั้นควรอยู่บนพื้นฐานที่ว่าผู้หญิงสามารถทำได้ วิธีการใช้กำลังป้องกันตัวต้องเรียบง่าย (ง่ายทั้งการจดจำและการกระทำ) ใช้ความฉลาดมากกว่ากล้ามเนื้อ และให้ทางเลือกหลายทางในการป้องกันตัว ครูฝึกควรใส่ใจต่อความกังวลหรือความกลัวของนักเรียน เสริมสร้างความมั่นใจ

Easy defense club แนะนำวิธีการเอาตัวรอดจากสถานการณ์วิกฤติด้วยวิธีการที่เรียบง่ายและมีประสิทธิภาพ ผู้รับการฝึกสามารถเลือกที่จะเรียนการป้องกันตัวด้วยมือเปล่าหรือการใช้อาวุธมีดระบบต่อสู้อย่างถูกต้องได้

สุดท้ายนี้ขอให้ตั้ง “สติ” ทุกครั้งเมื่อเผชิญเหตุ และขอให้ “พลังจงอยู่กับท่าน”

เรียบเรียงโดย Batman
อ้างอิงเนื้อหาบางส่วนจากบทความเรื่อง Guidelines on Choosing a Women's Self-Defense Course ของ National Coalition Against Sexual Assault (NCASA) จาก Portland Police Bureau
 

Samsung LCD televisions