Friday, August 27, 2010

ขอแนะนำ “ATEMI”

ขอแนะนำ “ATEMI”



คุณอาจเคยดูรายการโทรทัศน์ที่เชิญดาราหรือนักร้องหน้าใหม่ที่เคยเรียนศิลปะการต่อสู้ (Martial Art) มาร่วมรายการและถูกเชิญให้แสดงทักษะเหล่านั้นให้ดูโดยมีพิธีกรร่วมเป็นคู่แสดง ผลกลับปรากฏว่าการแสดงท่าต่างๆกลับไม่ราบรื่น อาจเป็นเพราะผู้แสดงขาดทักษะความชำนาญ หรือเกรงว่าพิธีกรจะบาดเจ็บจากการใช้กำลังหรือพิธีกรเกร็งต้านการแสดงท่าต่างๆ


หากดาราหรือนักร้องเหล่านั้นใช้ทักษะหนึ่งที่สำคัญร่วมด้วย ก็จะทำให้การแสดงราบรื่นขึ้น ทักษะที่ว่านั่นคือ “ATEMI” (อ่านว่า อะ-เท-มิ) หมายถึง “การเบี่ยงเบนความสนใจ” กลุ่มที่สอนการป้องกันตัว (Self-defense) ส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับ ATEMI เพราะเป็นสิ่งจำเป็นที่จะทำให้การป้องกันตัวบรรลุเป้าหมาย


ความแตกต่างของการฝึกศิลปะการต่อสู้หรือการป้องกันตัวกับสถานการณ์จริง คือ ในการฝึกซ้อมทั้งเราและคู่ซ้อมถือมีหน้าที่ที่ต้องดูแลความปลอดภัยของกันและกันจึงต้องรู้จังหวะเป็นอย่างดี เมื่อจู่โจมเราก็ระวังไม่ให้เร็วหรือแรงจนรับไม่ทัน เมื่อเราตอบโต้กลับเขาก็ยอมตามแรงเพื่อให้การฝึกเป็นไปอย่างราบรื่น กรณีเช่นนี้ ATEMI ก็ไม่จำเป็น


แต่ในสถานการณ์จริงคู่ต่อสู้ของเรามีความมุ่งมั่นที่จะทำร้ายเราอย่างเต็มที่ ดังนั้นการจู่โจมของเขาจะรวดเร็วและรุนแรง ถ้าเราพลาดท่าถูกเขาคว้าจับมือ เท้าหรือล็อกคอ เขาจะทุ่มเทเรี่ยวแรงอย่างไม่ออมมือ เมื่อเราดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองเป็นอิสระ เขาก็พร้อมจะแข็งขืน ต่อต้าน ยิ่งเราไม่แข็งแรง ไม่แม่นยำในเทคนิคของ Martial Art เขาก็อาจใช้อาวุธเล่นงานเราอย่างไม่ลังเล จึงเป็นเรื่องยากที่จะป้องกันตัวให้ปลอดภัยได้


ครูฝึกการป้องกันตัวจึงต้องแนะนำผู้รับการฝึกให้รู้จักใช้ ATEMI เพื่อเพิ่มโอกาสรอดมากขึ้น


ATEMI คืออะไรก็ได้ที่ใช้เบี่ยงเบนความสนใจของคนร้ายให้หันเหไปจากคุณ ทำให้เขาเผลอ จนเสียจังหวะที่จะควบคุมหรือทำร้ายคุณ เปิดโอกาสให้คุณจู่โจมหรือดิ้นรนหลุดรอดจากการถูกควบคุมได้


ในขณะที่คุณถูกคุกคามด้วยโทษะ ATEMI คือ คำพูดปลอบใจให้เขาสงบสติอารมณ์ลง ชี้ให้เห็นบาป บุญ คุณ โทษ และผลของความผิด ทำให้เขาลังเลที่จะทำร้ายคุณ ท้ายสุดหากเขามีท่าทีจะทำร้ายคุณแน่ๆ คุณอาจตะโกนหรือร้องให้เขาตกใจจนคุณฉวยโอกาสจู่โจมจุดอ่อนที่คุณหมายตาไว้ แล้วสะบัดตัวจากการควบคุมหลบหนีออกมาได้


หากคุณพลาดพลั้งถูกคนร้ายเข้าประชิดใช้อาวุธมีด ปืน จี้หรือถูกควบคุมด้วยการกุมมือถือแขน ATEMI ของคุณอาจเป็นคำอุทาน เบิ่งตาอย่างตื่นเต้นไปที่ด้านหลังคนร้ายราวกับว่ามีใครสักคนกำลังพุ่งเข้ามาเล่นงานเขา เมื่อเขาตกใจหันไปมอง คุณได้จังหวะคว้ากุมหักล็อก ปลดอาวุธ หรือสะบัดตัวหลุดจากการถูกควบคุม


บางครั้ง ATEMI คือ การลวงตาคู่ต่อสู้ คุณขยับเท้าจะเตะขวาแต่กลับชกด้วยหมัดขวาแทน หรือ ATEMI อาจหมายถึง วัตถุสิ่งของ เช่น พวงกุญแจหรือเศษเหรียญ ที่คุณโยนใส่หน้าคนร้าย หรือกระเป๋าสตางค์ กระเป๋าถือ ที่คุณโยนออกห่างตัวทำให้คนร้ายเบนสายตาออกจากคุณ แล้วอาศัยจังหวะนั้นหลบรอดมาได้


แต่ละคนเลือกใช้ ATEMI ไม่เหมือนกัน ขึ้นกับความถนัดและสถานการณ์ที่แตกต่าง คุณต้องค้นหาเองว่าวิธีไหนในสถานการณ์ใดที่เหมาะกับคุณ และฝึกควบคู่ไปกับการป้องกันตัวของคุณ ทักษะที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ ATEMI และการป้องกันตัวผสมผสานกันจนเป็นธรรมชาติ ช่วยเพิ่มพลังและความมั่นใจได้อย่างแน่นอน


“ป้องกันตัวอย่างได้ผลต้อง เร็ว แรงและแม่นยำ”


เรียบเรียงโดย Snap shot

Thursday, August 19, 2010

Tiger Kidnappings

Tiger Kidnappings



คำว่า Tiger Kidnapping หรือ Tiger Robbery หมายถึง อาชญากรรมซึ่งมุ่งหวังทรัพย์สินหรือข้อมูลจากเหยื่อโดยการใช้กำลังบังคับและมีการวางแผนไว้อย่างรัดกุม ส่วนใหญ่มักทำเป็นขบวนการมีผู้ร่วมก่อการหลายคน


การที่ได้ชื่อว่า Tiger Kidnapping ก็เพราะเป็นปฏิบัติการที่คล้ายกับพฤติกรรมของ “เสือในการออกล่าเหยื่อ” โดยก่อนที่จะจู่โจมจะมีการจ้องมองเลือกเหยื่อที่ต้องการ ย่องเข้าหาเหยื่ออย่างช้าๆ เมื่อได้จังหวะก็จะกระโจนเข้าตระครุบเหยื่ออย่างรวดเร็ว


พวก Tiger Kidnapper มักมีจุดประสงค์ที่ทรัพย์สินเงินทองหรือข้อมูลซึ่งสำคัญบางอย่างจากเหยื่อ โดยมีขั้นตอนการปฏิบัติการคล้ายๆกัน ดังนี้


- การติดตามเหยื่อ (Stalking) คนร้ายจะตรวจสอบประวัติของเหยื่ออย่างละเอียดทั้งหน้าที่การงานและชีวิตส่วนตัว มีการติดตามดูชีวิตประจำวันเพื่อวางแผนในการโจมตี ส่วนใหญ่มักเลือกการโจมตีที่บ้าน ขณะเดินทางหรือช่วงทำกิจกรรมประจำวันที่ทำบ่อยๆเป็นแบบแผนซึ่งง่ายแก่การลงมือ


- การบุกรุกเข้าหาเหยื่อ (Entry) หากเป็นการบุกรุกเข้ามาในบ้าน คนร้ายจะบุกอย่างรวดเร็วและรุนแรงเพื่อควบคุมทุกคนในบ้านให้ได้ อาจมีการตัดสายโทรศัพท์ในบ้าน การพันธนาการเหยื่อ จับแยก ข่มขู่ หรือใช้กำลังทำร้าย เพื่อให้เหยื่อทำตามและไม่อาจขอความช่วยเหลือจากคนอื่นได้


- การควบคุมเหยื่อ (Control) หากคนร้ายพบเหยื่อที่ต้องการแล้วจะทำการข่มขู่ บังคับ เพื่อให้เหยื่อยินยอมทำตามที่คนร้ายต้องการอันนำไปสู่การได้มาซึ่งทรัพย์สินหรือข้อมูล โดยอาจใช้ความปลอดภัยของสมาชิกในครอบครัวเป็นเครื่องต่อรอง เช่น การบังคับให้ไปเบิกเงินหรือโอนเงินจากธนาคารเป็นจำนวนมาก เปิดตู้เซิฟในบ้านหรือธนาคารเพื่อเอาทรัพย์สินมีค่า เป็นต้น


- การทำให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินหรือข้อมูล (Event) เป็นการนำตัวบุคคลเป้าหมายไปกระทำการบางอย่างเพื่อให้ได้ทรัพย์สินหรือข้อมูลมา เช่น อาจแยกบุคคลเป้าหมายออกจากตัวประกันคนอื่นแล้วพาขึ้นรถไปธนาคาร หรือพาไปเปิดตู้เซ็ฟ เป็นต้น


- การสังหารตัวประกัน (Kill hostages) เมื่อคนร้ายได้ทรัพย์สินหรือสิ่งที่ต้องการแล้ว ก็จะสังหารตัวประกันทั้งหมดเพื่อไม่ให้มีพยานชี้ตัว


- การหลบหนี (Escape) หลังจากนั้นคนร้ายก็จะแยกย้ายกันหลบหนี


ไม่ว่าบริษัทหรือองค์กรใดจะมีอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยที่เข้มแข็งเพียงใด “มนุษย์” ถือว่าเป็นจุดอ่อนที่สุดจุดหนึ่งของระบบรักษาความปลอดภัย ดังนั้นคนร้ายที่ต้องการบางอย่างจากบริษัทหรือสถานที่ที่มีการรักษาความปลอดภัยสูงเหล่านี้ จะมุ่งมาที่ตัวบุคคลในองค์กรนั้นซึ่งสามารถทำให้คนร้ายบรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการได้


หากคนร้ายบุกรุกเข้ามาด้วยการปิดหน้าปิดตา เช่น ใส่หมวกไหมพรม ไม่ให้ใครเห็นใบหน้าที่แท้จริง เมื่อพวกเขาได้สิ่งที่ต้องการไปแล้วก็มีโอกาสที่คนร้าย “อาจจะ” ไว้ชีวิตตัวประกัน แต่หากพวกเขาเปิดเผยใบหน้าให้เหยื่อเห็นก็จงตระหนักไว้ว่ามีโอกาสสูงที่เหยื่อจะถูกสังหารเมื่อคนร้ายได้สิ่งที่ต้องการไปแล้ว


หากเราตกอยู่ในสถานการณ์นี้ไม่ว่าจะเป็นตัวประกันหรือบุคคลเป้าหมายของคนร้าย ต้องตั้ง “สติ” ให้ดี คิดหาทางหนี แล้วแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยเร็วที่สุด อาจเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายนี้จบลงโดยมีการสูญเสียน้อยที่สุด


Tiger Kidnappings เป็นสิ่งที่ยากแก่การป้องกันและแก้ไข เพราะคนร้ายจะกระทำการหลายคน มีการแบ่งแยกหน้าที่กันทำงานอย่างชัดเจน มีการวางแผนอย่างรัดกุม และพร้อมที่จะใช้ความรุนแรงเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ


สำหรับบริษัทที่มีความเสี่ยงสูงอันอาจตกเป็นเป้าหมายของคนร้าย ควรมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีโดยพิจารณาถึงกรณีของพนักงานระดับสูงซึ่งอาจตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ด้วย และที่สำคัญคือ จิตสำนึกของการรักษาความปลอดภัย (Security-conscious) ของพนักงานเอง เช่น ไม่บอกตำแหน่งหน้าที่การงานของตนในที่สาธารณะ ผับ บาร์ เป็นต้น


ปัญหา Tiger Kidnappings ในปัจจุบันมีสถิติสูงขึ้นทุกปี ในไทยเองก็มีคดีลักษณะนี้ให้เห็นเป็นระยะๆและมีความถี่เพิ่มขึ้นเช่นกัน จำไว้ว่า “การป้องกันย่อมดีกว่าการแก้ไข” การเอาตัวรอดออกจากสถานการณ์ขึ้นอยู่กับ สติ ความรู้และทักษะในการเอาตัวรอดของเหยื่อเป็นสำคัญ


สุดท้ายนี้ขอให้ตั้ง “สติ” ทุกครั้งเมื่อเผชิญเหตุ และขอให้ “พลังจงอยู่กับท่าน”


เรียบเรียงโดย Batman
อ้างอิงเนื้อหาบางส่วนจาก Home invasion ของ Discovery channel, Can 'tiger kidnappings' be prevented? ของ Chris Summers, Wikipedia

Friday, August 13, 2010

มีด มีด มีด ทำไมต้องมีด

มีด มีด มีด ทำไมต้องมีด



ผู้ที่ติดตามอ่านบทความใน Thai self-defense เป็นประจำคงพอทราบได้ว่า เราให้ความสำคัญกับการใช้อาวุธมีดเพื่อป้องกันตัวเป็นพิเศษ ซึ่งหลายท่านที่เคยฝึกศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวระบบต่างๆ อาจนึกว่าทาง Thai self-defense พยายามโน้มน้าวจิตใจของผู้อ่านให้กระด้าง โหดร้ายจนถึงกับใช้อาวุธที่อันตรายกับผู้ที่มาคุกคามเราทั้งๆที่มีวิธีอื่นซึ่งนุ่มนวลกว่า ผมขอเรียนว่า Thai self-defense ยังคงยืนยันหลักการในการหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับผู้คุกคามเสมอ แต่ในกรณีที่สถานการณ์บังคับจนไม่อาจหลีกเลี่ยงได้แล้ว เราอยากเตือนให้คุณประเมินความสามารถของตัวเอง เปรียบเทียบกับเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นตรงหน้า เพราะอันตรายที่คุกคามอาจรุนแรงถึงชีวิตอีกทั้งอาจส่งผลกระทบต่อทุกคนที่คุณรักและคนที่คุณมีหน้าที่ต้องดูแล ดังนั้นการแก้ไขสถานการณ์จึงต้องทำทุกวิธีที่อาจเพิ่มทางรอดให้กับคุณ


เมื่อพูดถึงการป้องกันตัวต้องถามตัวเองว่า คุณจะป้องกันตัวจากใคร สมมุติคุณเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง (ซึ่งนับเป็นเหยื่อยอดนิยมของอาชญากรส่วนใหญ่) บุคคลที่คุณอาจต้องต่อสู้ด้วย คือ


1. ผู้หญิงที่ไม่มีทักษะการต่อสู้


2. ผู้ชายที่ไม่มีทักษะการต่อสู้


3. หญิงหรือชายที่มีทักษะการต่อสู้


4. หญิงหรือชายที่มีร่างกายใหญ่โตกว่าคุณ


5. คู่ต่อสู้มือเปล่าหลายคน


6. คู่ต่อสู้ที่ใช้อาวุธไม้ท่อน


7. คู่ต่อสู้ที่มีมีด


8. คู่ต่อสู้ที่มีปืน


9. คู่ต่อสู้หลายคนที่มีอาวุธมีด ไม้


ในการประเมินผลแพ้ชนะของการต่อสู้ใดๆก็ตาม เราจะมองที่ความได้เปรียบเสียเปรียบของแต่ละฝ่าย ซึ่งผู้ที่ได้เปรียบมักได้รับชัยชนะ ลองมาดูกันว่าคุณมีต้นทุนอะไรบ้าง


ตามหลักเกณฑ์ทั่วๆไป หากคุณฝึกศิลปะการต่อสู้ (Martial Arts) ไม่ว่าจะเป็นระบบใดก็ตามอย่างสม่ำเสมอเป็นเวลา 4 ปี ก็น่าจะได้สายดำอันเป็นระดับที่ยอมรับกันว่า “ใช้ได้” ซึ่งในระดับนี้คุณน่าจะได้เปรียบผู้หญิงและผู้ชายทั่วไปซึ่งเป็นการต่อสู้บนเบาะในโรงฝึก หรือในการแข่งขัน Martial Arts ที่มีกฎกติกา แต่หากคุณพบคนร้ายที่เป็นชายบนท้องถนนคุณจะเริ่มเสียเปรียบทันที หรือกับหญิงและชายที่มีทักษะการต่อสู้คุณจะยิ่งเสียเปรียบ อีกทั้งหญิงหรือชายที่ตัวใหญ่กว่าคุณมากๆด้วย รวมทั้งคู่ต่อสู้หลายคนรุมเล่นงานหรือคนร้ายซึ่งมีอาวุธมีด ไม้ คุณก็มีโอกาสแพ้มากขึ้น


หลังจากฝึกต่อเนื่องกันถึง 4 ปี คุณมีโอกาสชนะเพียงหญิงทั่วไปที่ไม่ได้ฝึกอะไรมาเท่านั้น แต่หากคุณมีเครื่องทุ่นแรงหรือฝึกใช้อุปกรณ์การป้องกันตัวอย่างอื่นด้วย คุณจะมีโอกาสเอาตัวรอดมากขึ้น แต่ปัญหาของเครื่องทุ่นแรงเหล่านี้ เช่น ดาบ ไม้พลอง กระบองสั้น กระบองสองท่อน คือ มันมีขนาดที่ไม่อาจพกพาติดตัวไปได้สะดวกนัก


หากคุณพกอาวุธปืนก็มีข้อเสียหลายอย่าง อาทิเช่น มีราคาสูงและค่าปรับ (ในกรณีตำรวจตรวจพบ) ที่แพงมาก มีเรื่องยุ่งยากทางกฎหมายตามมามากมาย อีกทั้งค่ากระสุนซ้อมและค่าเรียนยิงปืนให้ชำนาญ จึงมีไม่กี่คนที่จะซื้อหามาใช้ป้องกันตัวได้


ยังมีอีกทางเลือกหนึ่ง คือ มีดพก ซึ่งราคาไม่แพงนัก ขนาดกระทัดรัด สามารถพกพาได้สะดวก หากคุณเลือกเรียนรู้ฝึกฝนการใช้มีดกับผู้ชำนาญโดยตรงสัก 2 – 3 เดือน เมื่อคุณชักมีดมาถือในมือ คุณจะได้เปรียบหญิงหรือชายทั่วไปอย่างแน่นอน และอาจจะได้เปรียบผู้ที่มีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หากคุณฝึกต่อเนื่องกันสัก 10 - 12 เดือน ด้วยท่าจับถือมีดที่มั่นใจ จะทำให้คนที่ตัวใหญ่กว่าคุณมากๆรู้สึกไม่ปลอดภัยทันที รวมทั้งคู่ต่อสู้มือเปล่าที่มีจำนวนมากกว่าคุณด้วย


ส่วนคู่ต่อสู้ที่มีมีดด้วยกัน คุณก็อาจจะป้องกันตัวได้อย่างสูสี หากคุณไม่ลืมเทคนิคเบื้องต้นคุณก็อาจจะเอาตัวรอดได้ ส่วนคู่ต่อสู้ที่มีไม้และปืนก็ขึ้นอยู่กับว่าตลอด 12 เดือนที่ได้ฝึกฝนมา คุณมีความใส่ใจกับการเรียนแค่ไหนหากอาศัยสติและเทคนิคที่เหมาะสม คุณก็มีเปอร์เซ็นต์รอดสูงขึ้น การฝึกมีดจะไม่ทำให้คุณกลายเป็นบุคคลที่เก่งกาจไม่มีใครเทียบ แต่ผมเชื่อว่าการฝึกและใช้มีดเป็นเครื่องมือช่วยในการป้องกันตัว จะทำให้จำนวนผู้ที่อาจเล่นงานคุณได้จากการต่อสู้บนท้องถนนลดลงไปพอสมควร เมื่อรวมกับมีดที่มีขนาดกระทัดรัดและเวลาฝึกฝนที่ไม่นานเกินไป ทางเลือกนี้จึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าแน่นอน


“คุณเลือกคู่ต่อสู้ไม่ได้ แต่คุณเลือกวิธีที่จะต่อสู้เอาตัวรอดได้”


เรียบเรียงโดย Snap shot
อ้างอิงเนื้อหาบางส่วนจากบทความของ Mr. Randy Hodges (a qualified AMOK! Instructor in Thailand)


AMOK! เป็นระบบต่อสู้ด้วยมีดซึ่งมีการสอนกันทั่วโลก มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ประเทศอัฟริกาใต้

Easy Defense Studio

Easy Defense Studio



สถานที่เรียน การป้องกันตัว (Self-defense) และศิลปะมวยไทยไชยาในห้องเรียนติดแอร์ สำหรับเยาวชนและสุภาพชนทั่วไป


ตั้งอยู่ที่ ชั้น 3 ร้านขอขวัญ เลขที่ 102/24 ซอย พัฒนาการ 58 เยื้อง ร.ร. เตรียมพัฒนาการ เขต สวนหลวง กรุงเทพฯ 10250

GPS : N13-43.832  E100-38.871

แผนที่

สอบถามรายละเอียดที่ ครูเจี๊ยบ โทร. 081-911-8945

วิชาที่เปิดสอน

- ยุทธสติในการป้องกันตัว (Awareness Self-defense)

- ศิลปะป้องกันตัวในชีวิตประจำวัน (Surviving the Streets)

- ศิลปะป้องกันตัวสำหรับสุภาพสตรี (Self-defense Strategies & Combat Tactics for Women)

- ศิลปะการใช้มีดในการป้องกันตัว (Tactical Knife Defense)

- มวยไทยไชยา (Muay Thai Chiya)

หมายเหตุ   ทุกวิชานัดเรียนได้โทร 081-911-8945
          


ค่าฝึกอบรม :


- ครั้งละ 300 บาท (ต่อ 2 ช.ม., เฉลี่ย ช.ม. ละ 150 บาท)
- ครั้งละ 500 บาท ต่อ 2 ช.ม. สำหรับการฝึกอบรมศิลปะการใช้มีดเพื่อป้องกันตัว


คุณสมบัติผู้รับการฝึกอบรม : มาสมัครด้วยตนเอง, เป็นผู้มีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัวซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการฝึกอบรม, ผู้ที่อายุต่ำกว่า 18 ปี ต้องมีผู้ปกครองยินยอม

Friday, August 6, 2010

พกพาอาวุธ ผิดแน่

พกพาอาวุธ ผิดแน่


บางคนมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับคำว่า “อาวุธ” โดยใช้สายตาคนตัดสินแยกแยะความหนักเบาของปืนกับมีดหรือสิ่งอื่นที่นำไปทำร้ายหรือฆ่าคนได้ อันที่จริงแล้วสายตาของกฎหมายอาวุธจะเหมือนกันหมด ไม่ว่าเป็นปืน มีด ระเบิด และอื่นๆ ไม่จำกัดรูปลักษณ์และมูลค่าของมัน ถ้าใช้มันแล้วเกิดความเสียหายทางกฎหมายต่อเหยื่อ กฎหมายจะลงโทษอาญา เช่น จำคุก ปรับ ประหารชีวิต เป็นต้น ตามระดับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการใช้อาวุธนั้น ส่วนทางแพ่งก็ต้องจ่ายค่าเสียหาย ค่ารักษาพยาบาล ค่าทำศพ ค่าเลี้ยงดูทายาทของเหยื่อ และอื่นๆ ดังนั้น การใช้ปืน มีด สร้างบาดแผลหนักเบาหรือฆ่าตาย จะรับการลงโทษตามความรุนแรงของผลลัพธ์ที่ใช้อาวุธเป็นหลัก โดยมีช่วงเวลาให้ผู้พิพากษาใช้ดุลพินิจกำหนดเวลาลงโทษได้


เมื่อใช้อาวุธด้วยสารพัดเหตุผล ย่อมต้องเกิดผลลัพธ์เสมอ โดยกฎหมายแยกแยะระดับความเสียหายเพื่อใช้ลงโทษผู้ใช้อาวุธตั้งแต่ บาดเจ็บธรรมดา บาดเจ็บสาหัส และความตาย สำหรับความตายยังแบ่งระดับตายทั่วไปกับตายทรมาน มันส่งผลต่อเวลาลงโทษที่เพิ่มขึ้นหรือน้อยลง ส่วนเจตนาใช้อาวุธจะเป็นองค์ประกอบในการพิจารณาความผิดของผู้ใช้ด้วยว่าเจตนาฆ่าหรือป้องกันตัว มันให้คำตัดสินแตกต่างกัน


เจตนา เป็นองค์ประกอบสำคัญในการพิจารณาความผิดของผู้ใช้อาวุธโดยกรรมหรือการกระทำส่อเจตนาได้ในตัวเอง หลักกฎหมายยังแยกเจตนาออกเป็นสองแบบ คือ เจตนาโดยชัดแจ้ง กับ เจตนาเล็งเห็นผล ตัวอย่างเช่น เราระดมยิงคนระยะเผาขนหลายนัดต่อเนื่องหรือกระหน่ำแทงมีดไม่ยั้ง มันแสดงเจตนาชัดแจ้งว่าตั้งใจฆ่าคน ส่วนเจตนาเล็งเห็นผลนั้นกฎหมายให้ความหมายว่า ผู้ใช้อาวุธย่อมทราบดีว่ายิงปืนหรือแทงมีดต้องมีคนตายหรือคนบาดเจ็บ แล้วยังใช้มัน ปืนและมีดเป็นอาวุธอันตรายโดยสภาพ เมื่อยิงปืนหรือแทงมีดออกไปแล้วมีคนบาดเจ็บหรือคนตาย เช่น กราดยิงปืนใส่รถเมล์ที่นักเรียนช่างกลอีกโรงเรียนนั่งอยู่ แล้วมีผู้โดยสารอื่นตายหรือบาดเจ็บด้วย กฎหมายเรียกการกระทำนี้ว่า เจตนาเล็งเห็นผลในการทำร้ายหรือฆ่าโดยใช้อาวุธ กรณีคนบ้ายิงปืนฆ่าคนตาย อาจถูกมองว่าขาดเจตนาแล้วไม่มีความผิดใด เพราะขาดองค์ประกอบในฐานความผิดนั้น


อาวุธในสายตาของกฎหมาย แบ่งแยกเป็นอาวุธโดยสภาพกับไม่ใช่โดยสภาพ ปืน มีด ระเบิด ไม่ว่ามีรูปลักษณ์ใด มูลค่าเท่าใด ใครสร้างขึ้น ล้วนจัดเป็นอาวุธโดยสภาพ เช่น ปืนปากกาก็นับเป็นอาวุธในสายตาของกฎหมาย มีดคัตเตอร์ เป็นต้น ส่วนอาวุธที่ไม่ใช่โดยสภาพ เช่น ท่อนไม้ ไม้ทีของนักเรียนช่างกล ท่อเหล็ก ไม้แขวนเสื้อ ที่เขี่ยบุหรี่ เป็นต้น ทั้งนี้มันต้องสามารถทำร้ายหรือฆ่าคนได้ด้วย ส่วนการเปลี่ยนแปลงสภาพวัตถุให้กลายเป็นอาวุธจัดอยู่ในหมวดอาวุธมิใช่โดยสภาพ ดังเช่น แปรงสีฟันที่ถูกเหลาให้แหลมหรือเสียบด้วยใบมีดโกน มันไม่ใช่แปรงสีฟันอีกต่อไป สายตากฎหมายมองว่ามันเป็นอาวุธประเภทมิใช่โดยสภาพ การทำร้ายหรือฆ่าคนโดยใช้อาวุธจะต้องรับโทษอาญาหนักขึ้น


การลงโทษอาญาต่อผู้ใช้อาวุธทำร้ายหรือฆ่านั้น ต้องดูเจตนาการใช้เป็นหัวใจสำคัญอันส่งผลต่อระดับโทษที่จะได้รับด้วย เราควรจำไว้ว่า หลักกฎหมายมองว่าคนใช้อาวุธต้องถูกลงโทษ เมื่อเหยื่อตายหรือบาดเจ็บ ส่วนจะได้รับโทษมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่เหตุบรรเทาโทษที่ศาลจะใช้ดุลพินิจเห็นด้วยหรือไม่ จึงไม่แปลกที่จะรู้ข่าวว่าคนใช้ปืนยิงโจรบุกรุกบ้านตาย เขาก็ถูกฟ้องคดีต่อศาลฐานความผิดฆ่าคนโดยเจตนา ส่วนศาลจะลงโทษมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับดุลพินิจและข้อเท็จจริง เหตุบรรเทาโทษที่นิยมใช้กันมาก คือ เหตุจำเป็นป้องกันตัว เหตุบันดาลโทสะ และอื่นๆ ทั้งนี้แต่ละเหตุผลก็มีองค์ประกอบย่อยแทรกอยู่ด้วย


ผู้ร่างกฎหมายห่วงใยความปลอดภัยในสังคมจึงมีกฎหมายควบคุมการมีหรือใช้อาวุธเริ่มตั้งแต่การมีกรรมสิทธิ์ การพกพา ผลของการใช้ที่ลงโทษหลายระดับ ส่วนการมีปืนจะมีกฎหมายควบคุมโดยให้จดทะเบียนการครองปืน ทะเบียนพกพาปืน เนื่องจากมองเห็นอันตรายสูงของปืนมากพิเศษ ส่วนมีดยังไม่มีกฎหมายให้จดทะเบียน ประชาชนจึงครอบครองมีดหรือใช้มีดได้ตามอำเภอใจ ทั้งนี้ต้องมิใช่การละเมิดสิทธิ์ผู้อื่นด้วยมีด เช่น ใช้มีดข่มขู่คนอื่นมิให้รบกวนด้วยการชักมีดออกมา และอื่นๆ ถ้าทำ ย่อมมีความผิดอาญาได้ นอกจากนั้น กฎหมายอาญา หมวดลหุโทษ ยังกำหนดโทษสำหรับคนพกพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน หรือ ทางสาธารณะโดยเปิดเผยหรือโดยไม่มีเหตุผลสมควร หรือพาไปในที่ชุมนุมชนที่ได้จัดให้มีขึ้นเพื่อนมัสการ การรื่นเริง หรือการอื่นใด โดยมีโทษปรับไม่เกิน 100 บาทและ ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ริบอาวุธนั้น


การพกพาผิดกาละเทศะและเข้าเงื่อนไขของกฎหมายไม่สนใจว่าจะมีเจตนาอะไร แค่พกเข้าเงื่อนไขนี้ก็ต้องถูกลงโทษ ส่วนศาลจะสั่งริบอาวุธนั้นหรือไม่ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจ กฎหมายมิได้บังคับให้ริบทุกคดี การตีความหมายของ พกพาอาวุธ เป็นดุลพินิจของตำรวจ อัยการ หรือ ศาล เมื่อคดีนั้นอยู่ในมือของพวกเขาโดยยึดถือข้อเท็จจริงเป็นหลัก การเหน็บ การซ่อน ที่ติดตัวหรือใส่ในรถยนต์ที่หยิบใช้สอยได้ง่าย ถือเป็นการพกพาทั้งสิ้น ส่วนจะถูกเอาผิดทางกฎหมายหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความเห็นเจ้าหน้าที่ซึ่งพบเจอผู้พกพาอาวุธว่าจะแยกแยะคนอย่างไร เราอาจเคยเห็นตำรวจจับนักเรียนช่างกลที่พกมีดคัตเตอร์เกินกว่า 1 อัน แต่ไม่จับผู้หญิงที่พกมัน เนื่องจากตำรวจใช้ดุลพินิจว่าผู้หญิงมีเจตนาพกพาเพื่อป้องกันภัยมากกว่านักเรียนช่างกลที่อาจมีแผนไปฆ่าคนด้วยมีดคัตเตอร์ จึงต้องจับและริบมันไว้ก่อน


อีกความผิดเกี่ยวกับอาวุธในหมวดลหุโทษ คือ การยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้าน หรือที่ชุมนุมชน มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 วันหรือปรับไม่เกิน 500 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มันหมายถึง การยิงปืนโดยไม่มีเหตุอันควรในพื้นที่ซึ่งกฎหมายห้ามไว้ เช่น ยิงนก ยิงไล่หมาแมว ยิงโชว์ เป็นต้น และ คนชักหรือแสดงอาวุธในการวิวาทต่อสู้ มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 วัน หรือปรับไม่เกิน 500 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตัวอย่างเช่น ด่าทอกันโมโหชักปืนหรือมีดออกมาขู่อีกฝ่าย แม้ยังไม่ได้ยิงกระสุนหรือแทงมีด ก็เอาผิดลหุโทษได้ ทั้งนี้ศาลจะเป็นผู้ใช้ดุลพินิจให้จำคุกหรือปรับก็ได้


คำถามที่มักได้ยินเสมอ คือ ทำไมตำรวจจับคนพกมีดคนนี้ แต่ไม่จับอีกคนที่พกเหมือนกัน มันยุติธรรมหรือไม่ ? คำตอบคือ หลักการปกครองต้องใช้ทั้งกฎหมายและรัฐศาสตร์ ดังนั้น ดุลพินิจของตำรวจมีผลให้คนพกมีดอาจไม่ถูกจับแล้วส่งฟ้องศาลก็ได้เมื่อเขามองว่าผู้พกไม่มีอันตรายต่อสังคมและมีเจตนาใช้มีดที่มีเหตุผลเพียงพอและน่าเชื่อถือ เช่น พกไว้ป้องกันตัวตอนค่ำคืนระหว่างเดินทางกลับบ้าน ใช้ประกอบวิชาในคณะ เป็นต้น เมื่อถูกค้นตัวแล้วพบมีดก็ต้องมีข้อแก้ตัวที่ฟังมีเหตุผลน่าเชื่อถือ จึงอาจไม่ถูกจับดำเนินคดี ส่วนปืนนั้นแม้ตำรวจไม่ดำเนินคดีตามลหุโทษ หากปืนไม่ได้จดทะเบียนหรือปืนเถื่อน จะต้องขึ้นศาลอย่างเดียวเพราะไปใช้พระราชบัญญัติปืนและเครื่องกระสุน ตำรวจไม่อาจใช้ดุลพินิจได้เลยเพราะถือว่าเป็นพฤติกรรมร้ายแรงตามกฎหมายปืน


อาวุธโดยสภาพอย่างปืนหรือมีดถือเป็นของอันตรายในสายตาของรัฐบาล จึงมีการควบคุมเข้มงวดตั้งแต่การพกพา ขอบเขตการใช้ มักมีบทกำหนดโทษไว้ ถ้าคิดจะมีอาวุธ ควรมีสติ รู้จักและควบคุมอาวุธให้ได้ มีความรับผิดชอบต่อสังคม ทุกครั้งที่มีการใช้มัน จะต้องเกิดความรับผิดทางกฎหมายและต่อผู้เสียหายเสมอ ปืนหรือมีดไม่ได้ถูกลงโทษจำคุกหรือประหารชีวิตหรือปรับ แต่เจ้าของอาวุธคือผู้รับโทษอาญา ก่อนจะมีหรือใช้อาวุธ ขอให้ตรองก่อนว่าพร้อมจะรับผิดชอบทางกฎหมายอาญาหรือแพ่งไหม ? ก่อนใช้อาวุธ เราเลือกได้ ถ้าใช้ไปแล้ว คนกำหนดชีวิตของเรา คือ บุคคลอื่น เช่น ศาล ตำรวจ อัยการ เจ้าหน้าที่คุก เป็นต้น ถ้าเลือกมีอาวุธ ก็ต้องควบคุมมัน มิใช่เป็นแค่คนถืออาวุธ เพราะเด็กก็ถืออาวุธได้


เรียบเรียงโดย Black Cuff
 

Samsung LCD televisions