Friday, May 28, 2010

ความเชื่อกับความจริง

ความเชื่อกับความจริง



Thaiselfdefense.com ได้รับการจัดตั้งขึ้นเพื่อให้ความรู้และเตือนภัยแก่สุจริตชนทั้งหลาย ให้ตระหนักรู้ถึงภัยอันตรายจากอาชญากรรมและความรุนแรงที่คุกคามเข้ามาใกล้อย่างเงียบๆ เราอาจเสียทรัพย์ บาดเจ็บเล็กน้อย จนถึงขั้นเสียชีวิต พิการหรือต้องทนทุกข์จากเคราะห์ร้ายนี้ไปตลอดชีวิต


แน่นอนว่าก่อนหน้านี้คุณก็คงเคยได้รับข้อมูลข่าวสาร คำเตือน คำแนะนำต่างๆด้วยความปราถนาดี จากผู้คนมากหน้าหลายตา คุณก็เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้างถึง พ.ศ.นี้ ข้อมูลเหล่านี้จะยังน่าเชื่อถือหรือไม่ เรามาทบทวนข้อมูลกันหน่อย


1. ความเชื่อ ผู้หญิงหน้าตาพื้นๆธรรมดา คงไม่มีใครอยากข่มขืน


ความจริง ผู้หญิงทุกคนมีโอกาสถูกข่มขืนทั้งสิ้น ไม่ว่ามีอายุมากน้อยเท่าใด การศึกษาระดับไหน แต่งกายอย่างไร ฯลฯ เพราะผู้ชายสมัยนี้ข่มขืนผู้หญิงด้วยเหตุผลอื่นๆมากมาย เช่น อวดเก่งในหมู่เพื่อน เมาเหล้าหรือเมายา เพื่อแสดงความโกรธแค้น เพื่อลบปมด้อย ฯลฯ


2. ความเชื่อ เดินผ่านที่เปลี่ยวระวังคนแปลกหน้าจะมาฉุดไปข่มขืน


ความจริง จากสถิติของกรมตำรวจ ส่วนใหญ่การข่มขืนเกิดขึ้นในบ้าน คนร้ายส่วนใหญ่ไม่ใช่คนแปลกหน้า แต่เป็นญาติ เพื่อน คนรู้จัก คนบ้านใกล้เรือนเคียง แฟนเพื่อนหรือแม้แต่แฟนของคุณเอง


3. ความเชื่อ ให้ระวังคนหน้าตาหลุกหลิกไม่น่าไว้ใจ


ความจริง คนร้ายหรือนักข่มขืนส่วนใหญ่ ดูสุขุมนุ่มนวลน่าไว้ใจด้วยซ้ำ ไม่จำเป็นจะต้องมีหนวดเครารุงรัง ผิวดำ ด้อยการศึกษา แต่ผู้ชายทุกคน ทุกวัย ทุกอาชีพ ทุกฐานะ อาจกลายเป็นไอ้หื่นได้ ถ้าเขาสบโอกาส


4. ความเชื่อ อาชญากรรมและการข่มขืนบางครั้งเกิดจากอารมณ์ชั่ววูบเพราะฝ่ายหญิงแต่งตัวยั่วยวน

ความจริง อาชญากรและนักข่มขื่นส่วนใหญ่มีการวางแผนไว้ก่อน เขาเตรียมเครื่องมือและทางหนีทีไล่ไว้แล้ว และออกล่าเหยื่ออย่างมีเป้าหมาย เขาเลือกคุณเพราะคุณให้โอกาสเขาต่างหาก

5. ความเชื่อ ผู้หญิงไม่อาจกล่าวหาว่าสามีข่มขืนได้เพราะแต่งงานกันแล้ว


ความจริง กฎหมายปัจจุบันนี้การมีเพศสัมพันธ์โดยฝ่ายหญิงถูกข่มขู่ บังคับ กดดัน ทำร้าย จนต้องยอมตามถือว่าเป็นการข่มขืนทั้งสิ้น ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นสามีหรือคนรักที่เคยมีความสัมพันธ์กันมาแล้วก็ตาม


6. ความเชื่อ มีมีด มีปืน เอาใส่กระเป๋าถือไว้เผื่อขู่คนร้าย


ความจริง กระเป๋าถือ กระเป๋าสะพาย เป็นสิ่งแรกที่นักวิ่งราวหรือคนร้ายจะคว้าวิ่งหนีหรือยึดไว้ และเป็นสิ่งแรกที่คุณจะวางลืมเวลานั่งในร้านอาหาร ร้านเสริมสวยหรือขับรถ อีกประการหนึ่งการพกพาอาวุธไว้ขู่คนร้ายเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง จากการศึกษาบันทึกคดีต่างๆหลายปี ขอยืนยันว่า ไม่มีผู้ร้ายคนไหนกลัวปืนหรือมีดในมือของผู้หญิงหรือผู้ชายที่ไม่มีทักษะในการใช้อาวุธ การที่เขาแกล้งทำเป็นกลัวเพื่อหาโอกาสแย่งอาวุธมาเล่นงานคุณต่างหาก ถ้ามีอาวุธต้องเรียนรู้ฝึกฝนการใช้งานให้ชำนาญ การนำพาไปต้องพกไว้กับตัวและต้องกล้าใช้เมื่อจำเป็น


7. ความเชื่อ อุปกรณ์ดีๆทำให้การใช้งานมีประสิทธิภาพ ซื้ออาวุธป้องกันตัวต้องรุ่น Top ไปเลย


ความจริง ข้อนี้ถูกครึ่งเดียว อุปกรณ์ดีๆเทียบไม่ได้กับความคุ้นเคยและทักษะในการใช้เครื่องมือนั้นๆ ผมรู้จักช่างภาพบางคนที่ใช้กล้องรุ่นเก่าและโทรมมากๆ หาเงินได้เป็นล้านทุกปีและไม่ยอมแลกกับกล้องรุ่น Top ทุกตัวในสมัยนี้อย่างเด็ดขาด


8. ความเชื่อ ถูกคนร้ายจี้ด้วยมีดหรือปืน หาจังหวะเตะระหว่างขาหรือเตะผ่าหมากรับรองทรุดหมดสภาพแน่นอน


ความจริง คนร้ายอาจทรุดลงด้วยความเจ็บปวดและจุกเสียด แต่ยังยิงหรือแทงคุณได้แน่นอน อดีตตำรวจ Massad Ayoob (แมสซาด อยูบ) ครูฝึกตำรวจสหรัฐ ทดลองให้ชายร่างใหญ่สุดในชั้นเตะผ่าหมากชายตัวเล็กสุดซึ่งมีปืนในมือ นายตัวเล็กทรุดลงแต่ยังสามารถยิงนายตัวใหญ่ด้วยปืน BB ถึงสี่นัด


“รู้น้อยแต่เชี่ยวชาญ ดีกว่ารู้มากแต่ผิวเผิน”


เรียบเรียงโดย Snap shot
ขอขอบคุณข้อมูลจากหนังสือ “ผู้หญิงสู้คน”

Friday, May 21, 2010

Folding Knife Deployment

Folding Knife Deployment



ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งซึ่งพกมีดพับ (Folding knife) เพื่อการป้องกันตัว สิ่งแรกที่ต้องให้ความสำคัญคือ ความรวดเร็วในการใช้งานเมื่อจำเป็น ไม่เหมือนมีดใบตาย (Fixed blade) เมื่อดึงมีดออกจากซองก็พร้อมใช้งานแล้ว แต่มีดพับนั้นมีสองจังหวะ คือ ดึงออกจากที่พกแล้วจึงเปิดใบมีดเพื่อพร้อมใช้งาน


มีดพับสมัยใหม่ที่สามารถเปิดได้ด้วยมือเดียว (Modern one-handed folder) เกิดขึ้นในช่วงราวปี ค.ศ. 1980 โดยปกติมักใช้นิ้วโป้งเพื่อช่วยในการเปิดมีด ยกตัวอย่างเช่น มีดยี่ห้อ Spyderco มีรูกลมๆให้ใช้นิ้วช่วยเปิด (เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของ Spyderco) หรือบางยี่ห้อมีปุ่มเหล็กให้ใช้นิ้วดันที่ใบมีดเพื่อช่วยเปิด เรียกว่า Thumb studs ซึ่งมีหลายแบบ บางแบบอาจมีแผ่นเหล็กเล็กๆ (Disk) ติดอยู่ที่สันมีดเพื่อใช้นิ้วดันให้เปิดมีด นอกจากนั้นระบบใหม่ๆมีการออกแบบให้สามารถเปิดได้ด้วยนิ้วชี้ (Flipper)


มีดพับสมัยใหม่มีการออกแบบระบบการเปิดมีดหลากหลาย บางแบบมีปุ่มกดหรือเลื่อนเพื่อเปิดมีดได้เอง (ใบมีดจะถูกดีดเปิดออกมา) หรือมีวิธีการเปิดที่เฉพาะแตกต่างกันไปตามแต่ละยี่ห้อหรือรุ่นที่นำเสนอ แต่มีดพับส่วนใหญ่ที่นิยมกันก็มักเปิดด้วยวิธีที่จะกล่าวถึงต่อไป


การเปิดมีดได้เร็วหรือช้าขึ้นกับสองปัจจัยหลักๆ คือ การออกแบบของมีดและการเปิดมีดอย่างถูกวิธี


พื้นฐานการเปิดมีดพับ ประกอบด้วย


1. ทิศทางการออกแรงเปิดมีด (Direction of Force) ในภาวะตึงเครียด ความสามารถในการเคลื่อนไหวอย่างละเอียดของนิ้วมือจะด้อยลง การเปิดมีดโดยการออกแรงเป็นแนวตรง (Straight-line) จะทำได้ดีกว่าการออกแรงเป็นแนวโค้งที่ซับซ้อน (A complex arc) ดังนั้นเมื่อคุณถือมีดอย่างถูกต้องแล้ว ควรทำการเปิดมีดโดยใช้นิ้วโป้งออกแรงเป็นแนวตรงและขนานกับด้ามมีด ถ้ามีดนั้นออกแบบให้ต้องออกแรงในทิศทางอื่นในการเปิดมีดจะทำให้มีดเล่มนั้นยากแก่การเปิดเพื่อใช้งาน


2. ความสามารถในการง้างออก (Leverage) เมื่อออกแรงเป็นแนวเส้นตรงเพื่อเปิดใบมีด นิ้วโป้งจะต้องเคลื่อนรอบจุดหมุนซึ่งยึดใบมีดกับตัวด้ามไว้ โดยแรงที่ใช้เพื่อเปิดมีดต้องมากกว่าแรงของระบบล็อกมีดซึ่งจะพยายามปิดมีดจึงทำให้มีดนั้นเปิดออกได้ ถ้าตำแหน่งที่วางนิ้วโป้งเพื่อเปิดมีดอยู่ใกล้จุดหมุนบนมีดมาก (มักเป็นจุดศูนย์กลางของมีดด้วย) จะทำให้ความสามารถในการง้างมีดออกได้น้อยลงจึงยากแก่การเปิดมีด จุดนี้เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาเมื่อเลือกซื้อมีด


3. ความยาวของความโค้ง (Length of Arc) ตำแหน่งในการวางนิ้วโป้งเพื่อเปิดมีดที่ดีนั้นจะต้องสามารถทำให้เราออกแรงได้ดีตลอดการเคลื่อนที่ของใบมีดเป็นแนวโค้งในขณะเปิด ระยะห่างระหว่างจุดหมุนบริเวณมือกับตำแหน่งที่วางนิ้วเพื่อเปิดมีด เรียกว่า รัศมีของการเปิดมีด (Radius of the purchase) มีความสำคัญ หากสั้นไปจะทำให้ต้องออกแรงในการง้างมีดมาก ถ้ายาวไปจะทำให้เปิดมีดได้ช้าและงุ้มง้าม มีดที่ใช้ Thumb studs มักต้องใช้แรงเป็นสองเท่าในการเปิดเมื่อเทียบกับระบบอื่น


4. พื้นผิวตำแหน่งที่วางนิ้วเพื่อเปิดมีด (Purchase Surface) ซึ่งไม่ขึ้นกับการออกแบบระบบที่วางนิ้วเพื่อเปิดมีด พื้นผิวนั้นต้องมีลักษณะซึ่งง่ายแก่การใช้นิ้วเพื่อดันใบมีดออกไปโดยไม่ทำให้เกิดแผลถลอกที่นิ้วอย่างง่ายดาย มันไม่ควรที่จะยื่นออกมามากจนเกะกะเมื่อมีดนั้นพับปิดอยู่ หรือยื่นออกมาเกี่ยวเสื้อผ้าในขณะดึงออกมาใช้งาน และที่สำคัญที่สุด มันควรจะสามารถเปิดได้อย่างสะดวกไม่ว่าจะใช้มือขวาหรือมือซ้าย


นอกจากนั้นควรมีความรู้เกี่ยวกับตำแหน่งที่หนีบของมีด (Clip) ขนาดมือของคุณและความยาวของนิ้ว สิ่งเหล่านี้มีผลต่อความสามารถในการเปิดมีดด้วยมือเดียว มีดที่เหน็บได้ลึกมาก (Deep-carry clip) อาจทำให้มือไม่สามารถล้วงไปจับมีดได้ลึกพอที่จะดึงมีดออกมาใช้งานในยามฉุกเฉินได้ถนัด


ถ้าคุณต้องมีการขยับมือเพื่อถือมีดให้ได้ตำแหน่งที่เหมาะสมหลังจากดึงมีดออกจากที่พกแล้ว จะทำให้ความพร้อมของมีดเพื่อใช้งานช้าลงและความน่าเชื่อถือน้อยลง


มีดบางยี่ห้อ เช่น Emerson มีลักษณะพิเศษที่สันมีดมีเดือยยื่นออกมา เรียกว่า Wave เพื่อใช้เกี่ยวกับขอบกระเป๋ากางเกงขณะดึงมีดขึ้นมาเพื่อช่วยให้มีดเปิดได้เร็วขึ้น (เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของ Emerson)


ยังมีการเปิดมีดอีกวิธีหนึ่ง คือ การเปิดมีดด้วยการสะบัดมีด ซึ่งสามารถเปิดมีดได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน มักใช้ได้ดีในมีดพกตั้งแต่ขนาดมาตรฐานขึ้นไป ซึ่งใบมีดมีน้ำหนักมากพอที่จะใช้แรงโน้มถ่วงของโลกช่วยในการเปิดใบมีด


ความชำนาญของคุณ วิธีพกมีดและภาระกิจ เป็นอีกปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกใช้รูปแบบการเปิดมีดของคุณ ไม่ว่าจะเป็นแบบรู Thumb studs หรือ Disk


ถ้าคุณเป็นเจ้าหน้าที่ซึ่งพกพาอาวุธเป็นประจำ มักทำงานขณะใส่ถุงมือและชอบการถือมีดแบบ Reverse-grip จึงมักต้องเปิดมีดด้วยนิ้วก้อย มีดของคุณก็ควรต้องรองรับสิ่งเหล่านี้ด้วย


คุณต้องตรวจสอบความต้องการของตนเอง ความถนัดในการใช้งาน และมองหามีดที่เหมาะกับคุณ นอกจากนั้นควรลองพกและเปิดมีดด้วยตนเองเสมอในการเลือกมีด


สุดท้ายนี้ทุกครั้งที่จับมีดขอให้มี “สติ”

เรียบเรียงโดย Batman
อ้างอิงเนื้อหาบางส่วนจากบทความเรื่อง Fast to Fight Folders ของ Michael Janich

Saturday, May 15, 2010

จินตนาการช่วยเพิ่มทักษะ

จินตนาการช่วยเพิ่มทักษะ



เคยเขียนไว้ว่า ทักษะอันเกิดจากการฝึกฝนอย่างช่ำชองอาจช่วยให้เรารอดพ้นจากอาชญากรที่คุกคามกระชั้นชิดได้ นำไปสู่การฝึกเทคนิคการป้องกันตัวอย่างสม่ำเสมอ แต่ก็มีบางสถานการณ์ที่ไม่อาจฝึกให้ชำนาญได้ อย่างเช่น จู่ๆมีคนแปลกหน้าพรวดพราดเข้ามานั่งคู่กับเราในรถยนต์เพราะเราลืมล็อกประตู หรือเรานอนหลับอยู่ในบ้านแต่ต้องสะดุ้งตื่นกลางดึกเพราะได้ยินเสียงคนรื้อค้นของภายในบ้าน หรือแฟนเก่าโทรมานัดไปพบเพื่อสะสางปัญหาส่วนตัว เป็นต้น สถานการณ์เหล่านี้คนร้ายไม่ได้จู่โจมทำร้าย จี้ชิงหรือฉุดรั้งโดยตรง แต่ภัยคุกคามเข้ามาใกล้ในลักษณะต่างๆ ถ้าเราไม่มีวิธีรับมือที่เหมาะสม ก็อาจนำมาสู่ความสูญเสียหรือภัยร้ายแรงถึงชีวิตได้ ในกรณีเช่นนี้ตัวช่วยที่เหมาะสมคือ "จินตนาการ"


ในประเทศด้อยพัฒนาหรือกำลังพัฒนาเมื่อเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติขึ้นครั้งใด ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหว พายุเข้าหรือคลื่นยักษ์ โคลนถล่ม ก็มักปรากฎตัวเลขผู้เสียชีวิตหรือสูญหายนับพันนับหมื่นอย่างน่าเวทนา สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความสูญเสียมากมายเช่นนี้ คือ  “ความไม่รู้” ไม่รู้ว่าจะเกิดภัยธรรมชาติ ไม่รู้ว่าเมื่อเกิดแล้วจะหลีกเลี่ยงอย่างไร หรือจะเคลื่อยย้ายอพยพหนีไปทางไหนให้ปลอดภัยจนต้องสังเวยชีวิตกันเป็นจำนวนมาก


ต่างจากประเทศที่พัฒนาแล้วเช่น ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกาหรือหลายประเทศในยุโรป ต่างก็มีแผนรับมือภัยพิบัติเหล่านี้อย่างครบถ้วน เริ่มจากแผนเตือนภัยล่วงหน้า แผนรับมือเบื้องต้น ถ้าภัยพิบัตินั้นรุนแรงเกินจะต้านทานก็มีแผนอพยพเป็นขั้นเป็นตอน รวมทั้งแผนกู้ภัยและฟื้นฟูเมื่อภัยธรรมชาติผ่านไปแล้ว ในพื้นที่เสี่ยงตลอดทางจะมีป้ายบอกทางชี้ไปยังทิศทางที่ปลอดภัย บริเวณเสี่ยงภัยสูงจะมีป้ายเตือนไว้อย่างชัดเจน ในอาคารบ้านเรือนจะมีแนวเส้นชี้ทางออกที่ใกล้สุด เส้นเหล่านี้เรืองแสงได้ในที่มืดเผื่อกรณีไฟดับมองไม่เห็น เป็นต้น แผนเหล่านี้ได้รับการทบทวน เผยแพร่และซักซ้อมเป็นประจำ ทำให้ประชาชนในพื้นที่สามารถพาตัวเองและครอบครัวหลีกเลี่ยงจากอันตรายเฉพาะหน้าได้อย่างปลอดภัย ผลคือ สถิติผู้เสียชีวิตจากภัยธรรมชาติของประเทศเหล่านี้ต่ำอย่างน่าพิศวง อันเนื่องจากมีแผนรับมือไว้ล่วงหน้านั้นเอง


ทุกท่านที่กำลังอ่านบทความนี้เคยฉุกคิดหรือไม่ เวลาที่เราอ่านข่าว เห็นภาพเหยื่อเคราะห์ร้าย และรับรู้ถึงพฤติกรรมการคุกคามของคนร้ายหลายๆรูปแบบดังตัวอย่างที่เสนอไว้ในช่วงต้น เคยถามตัวเองไหมว่า “ถ้าฉันประสบเหตุการณ์เช่นนั้น ฉันจะรับมืออย่างไร” สมมุติว่าคุณอ่านข่าวพบว่า “สาวออฟฟิตขับรถกลางดึก แล้วมีคนขี่มอร์เตอร์ไซด์มาทำมือทำไม้หลอกว่ายางรถของคุณแบน แล้วถือโอกาสจี้ชิงทรัพย์” คุณตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ถ้าฉันเป็นสาวออฟฟิตคนนั้น ฉันจะรับมืออย่างไร” แล้วใช้จินตนาการคิดต่อ “ฉันจะไม่จอดรถแน่ เดี๋ยวถูกจี้อย่างในข่าว จะขับรถไปอย่างนั้นแหละ ยางรถยนต์ราคาไม่กี่พันบาท จะแบนก็ให้มันแบนไป ฉันจะขับไปจอดในปั๊มใกล้ที่สุดซึ่งมีคนหลายคนอยู่ในนั้นไม่เปลี่ยว แล้วให้ช่างช่วยปะยางให้ แต่ถ้าในปั๊มไม่มีร้านปะยางฉันคงต้องจ้างเด็กปั๊มช่วยเปลี่ยนยางให้” แล้วอาจคิดต่อ “เอ..... ยางอะไหล่ยังมีลมอยู่หรือเปล่า เดี๋ยวต้องตรวจดูเสียหน่อย แล้วต้องดูเครื่องมือถอดล้อกับแม่แรงยกรถด้วย ไม่รู้มันยังอยู่ที่เดิมหรือไม่” แน่ล่ะความคิดของคุณจะไหลไปเรื่อยๆ จินตนาการไปต่างๆนาๆเพราะจะมีคำว่า “ถ้า.....” อีกมาก แล้วคุณก็คิดหาทางแก้ปัญหา (ในจินตนาการ) ไปทีละข้อ ผิดบ้างถูกบ้าง เป็นไปได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ทุกๆแผนที่คุณคิดออกมา ก็จะเป็นเหมือนทักษะที่สะสมไว้เป็นแนวทางแก้ไขสถานการณ์ถูกคุกคามในรูปแบบต่างๆ พร้อมทั้งเตือนคุณให้ตรวจสอบเตรียมอุปกรณ์ต่างๆที่จำเป็นให้พร้อมล่วงหน้า


บรรดามืออาชีพในสาขาวิชาการต่างๆล้วนแต่เอาประสพการณ์ ความผิดพลาดในอดีตมาเป็นข้อมูลในการสร้างจินตนาการ คิดแก้ปัญหาล่วงหน้าก่อนที่ปัญหาจะเกิดขึ้นหรือป้องกันไม่ให้ปัญหาเดิมๆเกิดขึ้นมาอีก เราจึงมียางอะไหล่พร้อมอุปกรณ์เปลี่ยนยางติดประจำรถทุกคัน มีบันไดหนีไฟอยู่ในอาคารทุกหลัง มีเสื้อชูชีพติดประจำเรือทุกลำ ฯลฯ เราทุกคนอยากเป็นมืออาชีพในการดำรงชีวิตก็ต้องใช้จินตนาการเพิ่มทักษะในการดำเนินชีวิตให้ปลอดภัย อย่ารอให้ปัญหามาจ่อตรงหน้าแล้วค่อยคิดแก้ปัญหากระทันหัน เพราะในชีวิตจริงนั้นพลาดแล้วพลาดเลย คุณไม่สามาถรกดปุ่ม START เล่นใหม่ได้เหมือนเกมส์คอมพิวเตอร์


เรียบเรียงโดย Snap shot

Thursday, May 6, 2010

Karambit

Karambit



มีด Karambit หรือ Kerambit เป็นมีดสั้นใบโค้ง มีต้นกำเนิดในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะหมู่เกาะมาเล โดยคำว่า Karambit ใช้ในประเทศฟิลิปปินส์ ส่วนคำว่า Kerambit ใช้ในประเทศอินโดนีเซียและมาเลเซีย


มีหลักฐานว่า Kerambit มีกำเนิดที่เกาะชวาของอินโดนีเซีย โดยได้รูปแบบมาจากกรงเล็บเสือ นอกจากนั้นได้รับอิทธิพลจากเครื่องมือการเกษตร เช่น เคียวเกี่ยวข้าว พบว่ามีดโค้งสามารถเพิ่มความสามารถในการตัดได้ดีขึ้น มีดแบบนี้ได้กระจายไปยังประเทศข้างเคียง เช่น กัมพูชา ลาว พม่า มาเลเซีย ไทย และฟิลิปปินส์


มีด Kerambit ถือเป็นมีดของชนชั้นล่างหรือเกษตรกร โดยพบว่านักรบชาวมาเลเซียและอินโดนีเซียในสมัยก่อนจะมีกริช (Kris) เหน็บเอว ในขณะที่มือถือหอก ส่วน Kerambit ถือเป็นอาวุธด่านสุดท้ายในการต่อสู้เมื่อสูญเสียอาวุธในมืออื่นๆทั้งหมดขณะสู้รบ นอกจากนั้นผู้หญิงยังใช้มีดชนิดนี้เหน็บผมไว้ใช้ในการป้องกันตัว (Self-defense) ปัจจุบันศิลปะการต่อสู้ Silat ถือว่ามีด kerambit เป็นอาวุธหลักแบบหนึ่งที่ต้องฝึกฝน และมีสอนกันมากในศิลปะการต่อสู้แบบ Filipino martial arts ด้วย


ในประเทศอินเดียก็มีมีดสั้นที่มีลักษณะเลียนแบบกรงเล็บเสือเช่นกัน เรียกว่า Bagh nakh บางครั้งเรียกมีดลักษณะนี้ว่า กรงเล็บของหนุมาน และเชื่อได้ว่าอาจมีการเผยแพร่วัฒนธรรมมาสู่อินโดนีเซียด้วย


มีดสั้น Karambit แบบฟิลิปปินส์ (Filipino karambit) ได้รับความนิยมอย่างมากในตะวันตกเนื่องจากนักศิลปะการต่อสู้ได้นำไปเผยแพร่ ร่วมกับศักยภาพของอาวุธในการปาดฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพ


มีด Karambit แต่เดิมเป็นมีดใบตายโค้งขนาดเล็ก มีคมสองด้านและมีวงแหวนที่ปลายด้ามเพื่อใส่นิ้วไว้ทำให้ยากแก่การถูกปลดอาวุธ


มีดสั้น Karambit สมัยใหม่มีลักษณะที่แตกต่างไปจากอาวุธสมัยก่อนมาก ทำจากวัสดุคุณภาพสูง มีทั้งมีดใบตายและมีดพับ มีราคาสูงกว่าเมื่อเทียบกับจุดกำเนิดของมีด Karambit ในสมัยก่อน


มีดใบตายมีทั้งแบบคมสองด้านและด้านเดียว แต่มีดพับจะมีคมด้านเดียว การใช้มีด Karambit มักใช้เป็นอาวุธเพื่อการต่อสู้ป้องกันตัวในระยะประชิด


ในปัจจุบันมีด Karambit มีใช้ในหลายวัตถุประสงค์ทั้งการตั้งแค้มป์ ล่าสัตว์ ศิลปะการต่อสู้ สะสม และใช้ในการป้องกันตัว จึงมีการออกแบบมีดหลายรูปแบบและหลายขนาด


มีด Karambit ส่วนใหญ่มักจับแบบ Reverse grip (มีดสมัยใหม่ออกแบบให้จับแบบ Forward grip ได้ด้วย แต่โดยทั่วไปแล้วมีดถูกออกแบบมาให้จับ Reverse grip เป็นหลัก) ดังนั้นการใช้มีดจึงมักต้องใช้ในระยะประชิดใกล้กับภัยคุกคามอย่างมาก ต้องอาศัยความรวดเร็วและทักษะสูงจึงจะใช้ได้ดี


นอกจากนั้นมีด Karambit มีวิธีการใช้บางรูปแบบที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งทำให้มีดลักษณะนี้มีความได้เปรียบมีดแบบอื่น


ไม่ว่าเราจะใช้มีดแบบใดก็ต้องทำความรู้จักกับมีดนั้นเป็นอย่างดี เพื่อรู้ข้อดี-ข้อจำกัดของมีดที่เราใช้ การฝึกฝนเป็นปัจจัยสำคัญในการใช้อาวุธทุกชนิดได้อย่างมีประสิทธิภาพรวมทั้งมีดด้วย




สุดท้ายนี้ทุกครั้งที่จับมีดขอให้มี “สติ”


เรียบเรียงโดย Batman
อ้างอิงเนื้อหาบางส่วนจากบทความเรื่อง Karambit ของ Wikipedia, History of the Karambit ของ Steve Tarani

Saturday, May 1, 2010

กรมธรรม์กันภัย

กรมธรรม์กันภัย

ผมเขียนย้ำไว้ในบทความหลายชิ้นว่า วิธีเดียวที่จะมั่นใจในความปลอดภัยจากอาชญกรรมความรุนแรง เมื่อยามที่เราต้องเดินทางออกนอกบ้าน ก็คือ ต้องหลีกเลี่ยงเงื่อนไขที่จะเผชิญหน้ากับภัยคุกคามตั้งแต่แรก ระมัดระวังไม่ให้ปัจจัยเสี่ยงทั้ง 3 มีโอกาสมารวมกันได้ ปัจจัยเสี่ยงทั้งสาม คือ



1. คน...ใช่ คุณต้องไม่ประมาท หรือหมกมุ่นกับการใช้โทรศัพท์ฟังเพลงจากอุปกรณ์เสียงไฮเทคอย่างเพลิดเพลินในขณะเดินทาง จนคนร้ายเล็งเห็นและเลือกคุณเป็นเหยื่อ


2. ทำเลเอื้อ คุณควรหลีกเลี่ยงสถานที่อโคจรทั้งหลายรวมทั้งที่เปลี่ยวร้างห่างไกลผู้คน หรือที่ๆเราไม่คุ้นเคย


3. เวลาเหมาะ คือ เวลาที่คนร้ายชอบออกหาเหยื่อ ซึ่งมักเป็นเวลายามค่ำคืนจนถึงรุ่งสาง หรือเวลาดินฟ้าอากาศไม่ปกติ


ต้องเตือนตัวเองเสมอว่า เราอาจเป็นเหยื่ออาชญกรรมได้เสมอ ไม่มีข้อยกเว้นหรือมองในแง่ดีว่า “เราคงไม่โชคร้ายวันนี้หรอกน่า” จำไว้ว่า ผู้เคราะห์ร้ายชายหญิง ที่มีชื่อมีรูปอยู่หน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์วันนี้ เมื่อวานก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน


คราวนี้ผมขอเสนอแนวทางปฏิบัติง่ายๆซึ่งเปรียบเหมือน กรมธรรม์กันภัย สำหรับคุณๆทั้งหลาย ทั้งชายและหญิงที่ต้องเดินทางโดยบริการแท็กซี่ (ซึ่งผมถือเป็นทำเลที่อันตรายแห่งหนึ่ง ในยามค่ำคืนหรือกลางวันก็ตาม โดยคุณปฏิบัติง่ายๆ จ่ายขั้นต่ำไม่เกิน 3 บาทต่อเที่ยว ก็จะช่วยลดโอกาสเกิดอันตรายได้มาก) มีขั้นตอนดังนี้


1. ทันทีที่คุณเรียกแท็กซี่และบอกจุดหมายปลายทางแล้ว คุณต้องขึ้นนั่งเบาะหลังโดยเลือกที่ด้านขวาหลังคนขับพอดี เป็นตำแหน่งที่คนขับไม่สะดวกที่จะทำอันตรายคุณด้วยอาวุธ คุณสามารถคุมเชิงเขาได้อย่างปลอดภัย


2. ทันทีที่รถเริ่มเคลื่อน คุณต้องหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปป้ายแสดงตัวคนขับที่ตั้งอยู่ด้านซ้ายของคอนโซลหน้ารถ บนป้ายจะมีรูปถ่ายของคนขับพร้อมเลขรหัสประจำตัวและทะเบียนรถอย่างชัดเจน หรืออย่างน้อยก็ถ่ายป้ายทะเบียนรถซึ่งมักติดอยู่ที่ประตูรถ แล้วกดส่งไปยัง พ่อ แม่ แฟนหรือเพื่อนสนิทในคราวเดียวกัน (คุณอาจนัดแนะและบอกไว้ล่วงหน้า เขาจะได้ไม่แปลกใจ) ถ้าคนขับสงสัยให้บอกเขาว่า “ส่ง กท. รถไปให้เพื่อนเดี๋ยวเขาจะมารอที่ริมถนน” ถ้าคนขับบริสุทธิ์ใจ เขาจะเฉิยๆ แต่ถ้าเขาแสดงความโกรธเคืองหรือพร่ำบ่นเกินพอดี คุณก็บอกเขาให้จอดรถแล้วเรียกคันใหม่ดีกว่า คุณไม่ต้องเกรงใจหรือห่วงความรู้สึกของคนขับรถแท็กซี่หรอก ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของคุณต่างหากที่ควรต้องกังวล


3. ระหว่างเดินทาง คอยสังเกตุให้ดี ถ้าคนขับเอามือมาป้วนเปี้ยนแถวช่องแอร์ โดยอ้างว่าแอร์ไม่เย็น หรือหยิบจับผ้าหรือแอร์สเปรมาฉีดที่ช่องแอร์หรือแม้แต่ได้กลิ่นผิดปกติใดๆ ให้ระวังตื่นตัวทันที ถ้ารู้สึกง่วง มึนหัวหรือเบลอๆให้บอกคนขับรถจอดรถทันที (ใช้เสียงที่เฉียบขาดหรือโวยวายดังๆว่าคุณเห็นเพื่อนยืนอยู่ที่ทางเท้า เลยนึกได้ว่าต้องจอดครับ) ถ้าคนขับทำท่าไม่ยอมจอด ให้คุณเปิดประตูด้านที่คุณนั่งออกไปเลย เปิดค้างไว้อย่างนั้น เพื่อให้ลมเย็นข้างนอกเข้ามาเรียกสติคุณ คนขับกลัวประตูพัง จะได้ไม่กล้าขัดขืน เขาต้องจอดรถแน่


4. ถ้าคนขับชวนคุย อย่าพูดคุยมากนัก เขาอาจพยายามหาข้อมูลเพื่อประเมินตัวเราว่าเราเหมาะจะเป็น “เหยื่อ” หรือไม่ พูดให้น้อยที่สุด หรือแกล้งโทรหาเพื่อน บอกเขาว่าเราอยู่ตรงไหน (นัดแนะกับเพื่อนหรือแฟนไว้ก่อนก็ได้) อาจบอกเลขทะเบียนรถและแกล้งนัดให้มารับที่จุดนัดหมาย ถ้าคนขับรู้ว่ามีพยานรู้เห็นว่าเราอยู่บนรถ กท. อะไร เขาย่อมไม่กล้าคิดร้ายกับคุณ


5. ทันทีที่คุณรู้สึกว่า รถวิ่งออกนอกเส้นทางหรือเลี้ยวเข้าซอยโดยไม่จำเป็น (แม้เขาจะบอกว่าเป็นทางลัดเพื่อช่วยเราประหยัดเงิน) ให้บอกเขาให้หยุดรถทันที ต้องสั่ง! ด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดมั่นใจ ให้ไปตามทางที่คุณคิดว่าถูกต้องทันที ถ้าคุณไม่รู้เส้นทางก็สั่งให้เขาหยุดแล้วลงจากรถทันที อย่ากลัวเสียเวลา เพราะอย่างน้อยคุณก็มีเวลาของชีวิตพอที่จะเสีย (ถ้าคนขับไม่ยอมจอดให้ทำเหมือนข้อ 3)


ตำรวจหรือกลุ่มภัยผู้หญิง มักแนะนำให้ทำขั้นตอนเหล่านี้เมื่อคนขับมีพิรุธน่าสงสัย แต่ผมขอยืนยันว่า ข้อ 1 และ 2 ต้อง! ทำทันทีเมื่อขึ้นรถ ไม่ว่าคุณจะเป็นหญิงหรือชาย ไปคนเดียวหรือหลายคน กลางวันหรือกลางคืน การรอให้คนขับมีพิรุธก่อนอาจช้าเกินไป การแสดงให้คนร้ายเห็นว่า คุณไม่ได้โดดเดี่ยวมีพยานรู้ว่าคุณขึ้นรถไปกับเขาจะเป็นยันต์กันภัยให้คุณเป็นอย่างดี คุณเองก็ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจจนเกินเหตุ จำไว้ว่า คนบริสุทธิ์ใจ เขาไม่โกรธหรอกถ้าเราจะป้องกันตัวเราเอง


วิธีเหล่านี้สามารถนำมาปรับใช้กับการใช้บริการรถตุ๊กๆ รถมอร์เตอร์ไซด์รับจ้างได้ด้วย (อย่างน้อยก็ถ่ายรูปป้ายทะเบียนรถแล้วส่งให้คนที่รู้จัก)


เรียบเรียงโดย Snap shot


ขอขอบคุณข้อมูลจากหนังสือ “ผู้หญิงสู้คน” ของ คุณ อริยา จินตพานิชการ
 

Samsung LCD televisions