Friday, July 22, 2011

Street Fighting

Street Fighting

Street Fighting มักหมายถึงการต่อสู้ระหว่างบุคคลหรือกลุ่มบุคคลในที่สาธารณะ ส่วนใหญ่เป็นการต่อสู้โดยผิดกฎหมายมักเป็นการต่อสู้ด้วยมือเปล่า (Hand to hand combat) แต่หลายกรณีก็มีอาวุธเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่มีกฎกติกา ผลของการต่อสู้มักมีการบาดเจ็บรุนแรงและอาจถึงแก่ชีวิตได้

ความแตกต่างระหว่าง Street fighting กับ Self-defense (การป้องกันตัว) ก็คือ Street fighting มักเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ เช่น เมื่อมีเรื่องทะเลาะกับบางคนในบาร์แล้วคนหนึ่งท้าให้ออกไปนอกร้านเพื่อชกต่อย หากอีกคนยอมถอยไม่ตามออกไปเรื่องราวร้ายแรงก็คงไม่เกิดขึ้น แต่สำหรับการป้องกันตัวนั้นมักเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันส่วนใหญ่มักเลี่ยงไม่ได้

หลายคนโดยเฉพาะกลุ่มที่ฝึกศิลปะการต่อสู้ (Martial Arts) อาจใช้คำทั้งสองนี้ในความหมายเดียวกัน ดังนั้นในการฝึกการป้องกันตัวนั้นจึงครอบคลุมไปถึงการใช้กำลังเพื่อ “ต่อสู้” เอาตัวรอดด้วย

การป้องกันตัวนั้นจะเน้นที่การเอาตัวรอดออกจากสถานการณ์ร้ายได้อย่างปลอดภัยหรือบาดเจ็บน้อยที่สุด มากกว่าที่จะพยายามทำร้ายคนร้ายให้บาดเจ็บร้ายแรงหรือเสียชีวิต ในขณะที่ Street fighting จะเน้นที่การทำร้ายคู่ต่อสู้ให้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต จุดประสงค์ของการกระทำจึงแตกต่างกันนำไปสู่วิธีการและกลยุทธ์ที่ใช้มีความแตกต่างกันในหลายด้าน

การใช้ความรุนแรงเข้าแก้ไขปัญหาขอให้เป็นทางเลือกสุดท้ายและทำเมื่อจำเป็นจริงๆ ไม่มีหนทางอื่นที่จะเยียวยาปัญหาได้ โดยใช้ “สติ” ในการไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ไม่ใช้ “อารมณ์” เข้ามาตัดสินปัญหา และเลือกหนทางในการแก้ปัญหาที่เหมาะสมที่สุดตามสภาพการณ์ที่เป็นจริงภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย

Thai self-defense เน้นให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันตัว (Self-defense) ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันตัวด้วยมือเปล่าหรือด้วยอาวุธมีด

สุดท้ายนี้ขอให้ตั้ง “สติ” ทุกครั้งเมื่อเผชิญเหตุ และขอให้ “พลังจงอยู่กับท่าน”

                                                                  เรียบเรียงโดย Batman
อ้างอิงเนื้อหาบางส่วนจาก Wikipedia

Friday, July 15, 2011

เกินกว่าเหตุ! ตรงไหน?

เกินกว่าเหตุ! ตรงไหน?



เคยเขียนไว้ในบทความก่อนหน้านี้ว่า คนร้ายทุกคนมีสิ่งหนึ่งที่เหยื่อของเขาไม่มี คือ “ความเฉยเมยต่อชีวิตของเหยื่อและความละเลยต่ออนาคตของตนเอง” ขออธิบายว่า คนร้ายที่เผชิญหน้ากับคุณนั้นมีเหตุผลและแรงจูงใจอันแรงกล้าที่จะทำร้ายคุณให้ได้ เขาไม่สนใจว่าคุณจะบาดเจ็บ พิการหรือเสียชีวิต ไม่สนใจว่าครอบครัวของคุณ คนที่รักคุณจะเศร้าโศกเสียใจและต้องเผชิญอะไรหลังจากนั้น ตัวคนร้ายเองก็ไม่ใส่ใจว่าเมื่อก่อเหตุแล้วตัวเขาจะเป็นอย่างไรต่อไป จะต้องแบกข้อหา หนีหัวซุกหัวซุนไปนานแค่ไหน จะถูกจับติดคุกหรือถูกประหารชีวิตก็ไม่กังวล


แต่ในสถานการณ์เดียวกันนี้สุจริตชนอย่างคุณ ต่อให้ฝึก Martial Arts มาอย่างโชกโชน แต่มันก็แค่การฝึกซ้อมกับมิตรสหายในโรงฝึก บรรยากาศแตกต่างกันมากกับการต่อสู้จริง นอกจากความกังวลใจ คุณมีคนที่รัก คนในครอบครัวที่ต้องดูแลรับผิดชอบ คุณมีอนาคตที่ดีรออยู่ข้างหน้า ซึ่งต้องสิ้นสุดลงหากคุณถูกคนร้ายฆ่าตายหรือบาดเจ็บพิการ ดังนั้นสุจริตชนอย่างเราเมื่อเผชิญหน้ากับคนร้ายบนท้องถนนก็มักเสียเปรียบเพราะคุณธรรมในจิตใจของเรานั่นเอง ด้วยเหตุนี้ในการสอนการป้องกันตัวจึงมักแนะนำให้คุณหาอาวุธซ่อนรูปหรือพกพาอาวุธที่คุ้นเคยที่พอจะซุกซ่อนพกพาไปได้มาเสริมเพิ่มแต้มต่อให้คุณมีทางรอดมากขึ้น จะได้มากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณมีทักษะในการใช้อาวุธที่มีแค่ไหน


ถึงขั้นนี้แล้วคุณยังไม่ได้ทำอะไร “เกินกว่าเหตุ” ในสายตาของกฎหมายเลยนะครับ แต่นักกฎหมายผู้เคร่งครัดจะเริ่มปรามทำให้คุณใจฝ่อวิตกไปแล้ว


อยากบอกว่าคุณจะก้าวล้ำเส้นไปถึงขั้น “เกินกว่าเหตุ” หรือไม่ ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของคุณต่อจากนี้ต่างหาก


เคยเขียนไว้ในบทความชิ้นหนึ่งว่าในการป้องกันตัวด้วยอาวุธหรือมือเปล่า “อย่าทำสิ่งที่อยากทำ อย่าทำสิ่งที่ควรทำ แต่จงทำสิ่งที่ต้องทำ”


“สิ่งที่คุณอยากทำ” ถ้าคุณคือผู้ที่ทักษะดีเยี่ยมในศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว ก็ถือได้ว่าคุณมีอาวุธที่คุ้นเคยมาอยู่ในมือแล้ว สิ่งที่คุณอยากทำคือได้แสดงความสามารถให้สาธารณชนได้ประจักษ์ ใช้ท่าสวยๆฟาดฟันเชือดเฉือนทิ่มแทงเข้าใส่คนร้าย ความอยากเอาคืน กิเลสที่ขาดสติเหล่านี้ล้วนชักนำให้คุณเปลี่ยนจากเหยื่อมาเป็นผู้รุกรานเสียเอง คุณก็เริ่มบุกเข้าหาคนร้ายเพื่อ “เล่นงาน” มันตามอารมณ์พาไป ทีนี้จากการป้องกันตัวก็จะกลายเป็นการทะเลาะวิวาททำร้ายร่างกายกัน “โดยเจตนา” ไปแล้ว คุณเองไม่ว่าจะเอาตัวรอดโดยปลอดภัยหรือไม่ คุณก็ “แพ้” ตั้งแต่ต้นแล้ว


“สิ่งที่คุณควรทำ” คือ ระมัดระวังอย่าทำ “เกินกว่าเหตุ” ซึ่งนักกฎหมายผู้เคร่งครัดจะคอยเตือนคุณว่ามีขอบเขตที่คุณจะล้ำไม่ได้ มิเช่นนั้นกฎหมายจะเล่นงานคุณ ปัญหาคือ เขาไม่ได้บอกคุณว่าขอบเขตที่ว่านั้นมันอยู่ตรงไหนแน่ คุณก็เฝ้าแต่กังวลว่าจะ “เกินกว่าเหตุ” จนเกร็งและตกอยู่ในอันตรายในที่สุด เพราะคนร้ายมันไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย


“สิ่งที่ต้องทำ” คือ สิ่งที่ผมแนะนำให้คุณทำโดยขอย้ำว่า “อย่ามากหรือน้อยเกินกว่านั้น” เมื่อคุณถูกคุกคามไม่ว่าจะมีอาวุธร่วมด้วยหรือไม่ สิ่งที่คุณควรทำอันดับแรก คือ รวบรวม “สติ” ให้มีครบถ้วน เพื่ออ่านสถานการณ์ให้ชัดเจน ประเมินระดับของอันตรายที่คุกคามคุณอยู่แล้วกำหนดวิธีการป้องกันตัว “ให้รัดกุม” ตัดทอนอารมณ์ต่างๆอันอาจผลักดันให้คุณทำอะไรที่มากหรือน้อยกว่าการป้องกันตัวที่จำเป็น เมื่อคุณไม่มีอารมณ์มารบกวนจิตใจ คุณก็มีสมาธิกับการตั้งรับให้รัดกุม ไม่ต้องเร่งร้อนบุกเข้าเล่นงานคนร้ายเพราะเวลาจะเข้าข้างคุณ


แม้คุณมีอาวุธอยู่ในมือก็ยังคงใช้กลยุทธ์ “โจมตีเฉพาะภัยคุกคามเฉพาะหน้า” อย่างเช่น คนร้ายใช้หมัดชกหน้าคุณ ก็แค่ใช้อาวุธเล่นงานมือที่พุ่งเข้าหาคุณก็พอ เขาใช้มีดแทงคุณ ก็แค่ฟาดฟันทิ่มแทงเฉพาะมือที่ถือมีดซึ่งพุ่งเข้ามา สกัดกั้นความอยากที่จะบุกเข้าประชิดเพื่อเล่นงานจุดตายต่างๆตามร่างกายคนร้ายอย่างที่ได้ฝึกฝนร่ำเรียนมา เพราะมันเสี่ยงกับการถูกตอบโต้กลับด้วยอาวุธจนบาดเจ็บ


ในทางกฎหมายคุณก็แสดงให้เห็นว่าไม่ได้มีเจตนาที่จะทำร้ายร่างกายคู่ต่อสู้อย่างแน่ชัด ถ้าคุณรักษาสภาพเช่นนี้ได้ตลอด ก็จะสร้างบาดแผลสะสมตามแขนขา มือเท้าของคนร้ายจนในที่สุดหมดสภาพเลิกราไปเอง ภายหลังถ้าต้องขึ้นโรงขึ้นศาลก็ยังพอชี้แจงได้ว่า คุณไม่ได้มีเจตนาป้องกันตัว “เกินกว่าเหตุ” เพราะคุณกำหนดขอบเขตของการป้องกันตัวไว้แล้วอย่างชัดเจน


“อยากชนะอย่างแท้จริง ต้องชนะตัวเองก่อน”


เรียบเรียงโดย Snap shot

Easy Defense Studio

 

Samsung LCD televisions