Friday, October 30, 2009

Every Day Carry (EDC)






















Every Day Carry (EDC)





ถึงแม้จะทราบปัจจัยส่งเสริมให้เกิดอาชญากรรมแต่ในบางครั้งเราไม่สามารถเลี่ยงได้ จึงควรมีอุปกรณ์หรือเครื่องมือที่อาจใช้ในยามจำเป็น เช่น เหตุการณ์ร้ายมักเกิดในเวลาหรือสถานที่ที่มีแสงน้อยเราก็ควรมีไฟฉายติดตัวไว้เผื่อกรณีจำเป็น (มีคำกล่าวที่ว่า “จงทำที่มืดให้สว่างเสีย”) โดยใช้ไฟฉายที่มีความสว่างเพียงพอ (แนะนำให้ใช้ Tactical flashlight ที่มีความสว่างมากกว่า 50 ลูเม็นส์) นอกจากใช้ในการส่องสว่างช่วยในการมองเห็นสภาพแวดล้อมแล้ว หากต้องเผชิญกับคนร้ายยังสามารถใช้ไฟฉายส่องตาคนร้ายเพื่อให้พร่ามัวได้ชั่วขณะ ทำให้มีเวลาหนีหรือช่วยเหลือตัวเองได้มากขึ้น อีกทั้งตัวกระบอกไฟฉายซึ่งมีความแข็งแรงก็สามารถนำมาใช้เป็นอาวุธป้องกันตัวได้อีกด้วย (ควรเลือกไฟฉายให้มีขนาดเหมาะสมสำหรับการพกพาทุกวันและตรวจสอบสภาพการทำงานของไฟฉายอย่างสม่ำเสมอ)

สเปรย์พริกไทย (Pepper spray) มีหลายแบบ หลายยี่ห้อ สามารถพกติดตัวได้ แต่ต้องระวังเรื่องการใช้งานซึ่งอาจไม่ได้ประสิทธิภาพตามที่ผลิตภัณฑ์ได้กล่าวอ้างไว้ ปัญหาที่พบบ่อยคือ ก๊าซซึ่งบรรจุอยู่ในสเปรย์พริกไทยรั่วซึมออกมาทำให้แรงดันในกระป๋องไม่มากพอที่จะใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับ Kimber peper blaster นั้นทำขึ้นมาอย่างดีมีประสิทธิภาพเชื่อถือได้ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยราคาที่สูงขึ้น

มีด (Knife) มีหลายแบบ หลายขนาด หลายวัตถุประสงค์ มีดบางแบบโดยรูปลักษณ์แล้วเป็นอาวุธต่อสู้ (Combat knife) บางแบบใช้เพื่อการล่าสัตว์ (Hunting knife) บางแบบใช้เพื่องานกู้ภัย (Rescue knife) มีการทำมีดเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะด้านอีกมากมาย แต่ที่นิยมมากในปัจจุบัน คือ มีดต่อสู้ (Combat or Tactical knives) อย่าลืมว่ามีดทุกชนิดสามารถใช้เป็นอาวุธได้ ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นมีดต่อสู้เท่านั้น มีดปลอกผลไม้ มีดทำครัวก็สามารถนำมาใช้เป็นอาวุธได้ มีดต่อสู้ถือว่าเป็นอาวุธโดยสภาพห้ามพกพาเข้าไปในสถานที่สำคัญบางแห่ง ห้ามนำขึ้นเครื่องบิน และผู้ที่จะพกมีดเพื่อป้องกันตัวควรเรียนรู้มีดของตนเองอย่างดี ทำความคุ้นเคยและฝึกฝนการใช้มีดเพื่อต่อสู้ป้องกันตัว ไม่เช่นนั้นมีดเล่มนั้นอาจกลายเป็นอาวุธให้กับคนร้ายเสียเอง

เครื่องช็อกไฟฟ้า ในประเทศไทยถือเป็นเครื่องยุทธภัณฑ์ห้ามพกพาไปในที่สาธารณะ แต่มีโทษแค่ปรับ

ปากกา (Pen) โดยสภาพแล้วไม่ใช่อาวุธแต่หากรู้วิธีก็สามารถนำมาใช้เป็นอาวุธเพื่อปกป้องตัวเองได้เช่นกัน นอกจากนี้มีการทำปากกาที่มีลักษณะพิเศษเพื่อใช้ในการป้องกันตัวโดยเฉพาะ เรียกว่า Tactical pen

กระบองสั้น Baton หรือ ดิ้ว เป็นกระบองสามท่อนที่ยืดและหดได้ มีหลายความยาว หลายวัสดุ หลายราคา มีประโยชน์มากหากรู้วิธีใช้อย่างถูกต้อง ถือเป็นคู่ปรับตลอดกาลของมีดต่อสู้ ถึงแม้จะหดกระบองจนสั้นสุดก็ยังถือว่ายาวอยู่มาก อีกทั้งมีน้ำหนักมากกว่ามีดดังนั้นจึงขาดความคล่องตัวในการพกพาหรือพกซ่อน

ยังมีอุปกรณ์อีกมากที่ไม่มีลักษณะเป็นอาวุธโดยสภาพแต่สามารถนำมาใช้ในการป้องกันตัวได้ อาทิเช่น หนังสือ หากรู้วิธีสามารถนำมาใช้ต่อสู้กับมีดได้ เชือก หมวก เข็มขัด ร่ม กุญแจรถ กุญแจบ้าน เป็นต้น

โทรศัพท์มือถือ (Cell phone) ประโยชน์หลักคือใช้ในการโทรขอความช่วยเหลือหรือแจ้งตำรวจ โทรศัพท์สมัยใหม่ส่วนใหญ่สามารถถ่ายภาพหรืออัดวีดิโอได้ ซึ่งอาจใช้บันทึกภาพเหตุการณ์หรือคนร้ายได้ ควรมีเบอร์โทรของบุคคล ตำรวจ หรือสถานพยาบาลที่เราสามารถติดต่อได้ในยามฉุกเฉินและใช้วิธีการโทรออกได้อย่างรวดเร็ว

นกหวีด (Whistle) เป็นอุปกรณ์เรียกร้องความสนใจจากคนรอบข้าง อาจทำให้คนร้ายเปลี่ยนใจที่จะไม่เข้ามาจู่โจมได้ (หากเป็นคนที่ชอบเดินป่าหรือออกทะเล นกหวีดถือเป็นอุปกรณ์กู้ภัยอย่างหนึ่งทีเดียว เช่น ถ้าเดินหลงป่าหรือตกทะเลอาจใช้นกหวีดเพื่อบอกตำแหน่งของตนเองได้)

การเลือกอุปกรณ์พกพาประจำวันเพื่อใช้ในการป้องกันตัวนั้นก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนจะสามารถใช้มันให้เกิดประโยชน์ได้หรือไม่ เรียนรู้ข้อดี ข้อจำกัดของอุปกรณ์ต่างๆ เรียนรู้วิธีการใช้งาน ควรรู้ว่าจะเก็บอุปกรณ์ต่างๆเหล่านี้ที่ไหน (หากเก็บทุกอย่างไว้ในกระเป๋าถือ ถ้าถูกขโมยหรือถูกคนร้ายยึดไปก็จะเหลือแต่ตัวเปล่าๆ)


สุดท้ายนี้ขอให้ตั้ง “สติ” ทุกครั้งเมื่อเผชิญเหตุ และขอให้ "พลังจงอยู่กับท่าน"
เรียบเรียงโดย Batman

Tuesday, October 27, 2009

Criminal Nature



Criminal Nature

การก่ออาชญากรรมของคนร้ายมักมีจุดประสงค์ใหญ่ๆ คือ ต้องการทรัพย์สิน การคุกคามทางเพศ การประทุษร้ายต่อร่างกายและชีวิต บางครั้งการก่ออาชญากรรมมีเหตุผลเพียงหนึ่งหรือสองข้อแต่หลายกรณีก็มีครบทั้งสามประการข้างต้น



การเกิดอาชญากรรมต่อตัวบุคคลนั้นจะประกอบด้วยปัจจัย 4 ประการ คือ เวลา (Time) สถานที่ (Place) บุคคล (Person) และแรงจูงใจ (Motivation)

- เวลา (Time) อาชญากรรมมักเกิดขึ้นในช่วงที่มีแสงน้อย (เช้ามืดก่อนพระอาทิตย์ขึ้น, เย็นพลบค่ำและกลางดึก) เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่คนร้ายสามารถใช้ความมืดในการหลบซ่อนได้ง่าย เหยื่อขาดความระมัดระวังและลดโอกาสที่จะถูกจดจำใบหน้า

- สถานที่ (Place) อาชญากรมักเลือกลงมือในสถานที่ที่เปลี่ยว มืด ผู้คนไม่พลุกพล่าน สามารถปกปิดการกระทำความผิดได้ง่าย เหยื่อไม่สามารถหนีหรือขอความช่วยเหลือได้ นอกจากนั้นอาจนำเหยื่อไปยังสถานที่ดังกล่าว แม้แต่ในบ้าน ห้องพักหรือที่ทำงานก็อาจเกิดอาชญากรรมได้เช่นกัน

- บุคคล (Person) หมายถึง ตัวเราเองและบุคคลรอบข้าง รวมทั้งคนร้าย เช่น เราใส่เครื่องประดับราคาแพงหรือแต่งกายไม่สุภาพหรือไม่ บุคคลที่เราไปด้วยมีความไว้วางใจได้แค่ไหน หลายครั้งการประทุษร้ายทางเพศเกิดจากคนที่เหยื่อรู้จักเป็นอย่างดี บุคคลที่มีความอ่อนแอทางร่างกายมักตกเป็นเหยื่อ เช่น ผู้หญิง เด็ก ผู้สูงอายุ และคนพิการ แต่ในหลายกรณีผู้ชายเองก็อาจตกเป็นเหยื่อได้เช่นกัน

- แรงจูงใจ (Motivation) เป็นปัจจัยภายในตัวของคนร้ายโดยตรง ซึ่งแรงจูงใจนั้นมีหลายประการ มากน้อยแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคลและสภาพการณ์

ก่อนอื่นคงต้องสำรวจตัวเองก่อนว่ามีโอกาสเป็นเป้าหมายของเหล่าอาชญากรหรือไม่ เช่น ใส่เครื่องประดับราคาแพง แต่งตัวไม่เหมาะสม เดินทางไปในสถานที่ที่มีโอกาสเกิดอาชญากรรมได้ง่าย (ที่เปลี่ยว มืด ไม่ค่อยมีผู้คน หรือสถานที่ที่มีการดื่มสุรา เล่นการพนัน ใช้ยาเสพติดหรือแหล่งเสื่อมโทรม) มีเพื่อนร่วมเดินทางไปด้วยหรือไม่ เพื่อนคนนั้นไว้ใจได้มากน้อยแค่ไหน ทำงานหรือเดินทางในเวลามืดค่ำหรือไม่ อยู่ท่ามกลางคนที่ไม่น่าไว้วางใจหรือไม่ เป็นต้น

สำรวจความพร้อมของตัวเองว่าสามารถรับมือกับภัยคุกคามได้มากน้อยแค่ไหน เช่น เรารู้วิธีการป้องกันตัวด้วยมือเปล่าหรือไม่ เรามีอาวุธหรืออุปกรณ์ที่อาจใช้เป็นอาวุธได้หรือไม่ และมันอยู่ที่ไหน เรามีวิธีหรือโทรศัพท์ที่สามารถติดต่อบุคคลอื่นหรือขอความช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็วหรือไม่ หากทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในกระเป๋าถือและถูกคนร้ายชิงไปเราจะทำอย่างไร หากเกิดเหตุการณ์ในรถยนต์ส่วนตัวหรือแท็กซี่เราจะแก้ไขอย่างไร เป็นการสำรวจศักยภาพความพร้อมของตัวเองว่าหากมีภัยคุกคามเกิดขึ้นจะสามารถรับมือได้แค่ไหน

“ตนย่อมเป็นที่พึ่งแห่งตน” การที่คาดหวังว่าจะมีคนอื่นมาช่วยเมื่อเกิดภัยคุกคามนั้น สำหรับสภาพสังคมในปัจจุบันนั้นคงเป็นไปได้ยาก ดังนั้นเราต้องเตรียมตัวและพร้อมที่จะเผชิญสถานการณ์เอง

เมื่อทราบถึงองค์ประกอบของการเกิดอาชญากรรมแล้ว เราก็เพียงแค่ไม่ให้ครบองค์ประกอบทั้งสี่อย่างเท่านั้น ก็จะสามารถลดโอกาสเกิดเหตุร้ายกับเราได้

เรียบเรียงโดย Batman

Monday, October 26, 2009

Thai Self-Defense























Thai Self-Defense


ในสังคมปัจจุบันภัยคุกคามต่อสวัสดิภาพของประชาชนมีเป็นจำนวนมากและหลายรูปแบบโดยเฉพาะภัยคุกคามที่เกิดจากมนุษย์ด้วยกันเอง การเอาตัวรอดจากภัยคุกคามเหล่านี้จำเป็นต้องใช้ “สติ” และการเรียนรู้วิธีเอาตัวรอดเพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สิน

การป้องกันตัว (Self-defense) จากภัยคุกคามในชั้นประชาชนนั้นแบ่งได้เป็น 3 รูปแบบ คือ การป้องกันตัวด้วยมือเปล่า การป้องกันตัวด้วยอาวุธ เช่น มีด ปืน การป้องกันตัวด้วยอุปกรณ์หรือเครื่องมือที่ไม่ใช่อาวุธโดยสภาพ เช่น ปากกา เชือก ไม้ กระบองสั้น ผ้า หนังสือ ร่ม ไม้เท้า ไฟฉาย เป็นต้น

ผู้หญิง เด็ก ผู้สูงอายุและผู้มีความพิการทางร่างกายมักเป็นเหยื่อของภัยคุกคามเพราะโดยสภาพร่างกายแล้วอ่อนแอกว่าคนร้ายซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย แต่ก็มีหลายกรณีที่เหยื่ออาจเป็นผู้ชายได้ ดังนั้นทุกเพศ ทุกวัย มีโอกาสเป็นเหยื่อได้ทั้งสิ้น อย่าคิดว่าสิ่งเลวร้ายเหล่านั้นคงจะไม่เกิดกับเรา หากคิดเช่นนั้นแสดงว่ากำลังตั้งอยู่ใน “ความประมาท” ควรคิดว่าเราจะป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เหล่านั้นได้อย่างไรหรือหากเกิดขึ้นแล้วจะแก้ไขสถานการณ์อย่างไร และสุดท้ายเราจะบรรเทาผลกระทบที่เลวร้ายนั้นได้อย่างไร

การป้องกันตัว (Self-defense) และการต่อสู้ (Fighting) ในหลายกรณีมีความหมายคาบเกี่ยวกันอยู่ บางครั้งอาจไม่สามารถแยกออกจากกันได้อย่างชัดเจน สำหรับ Thai self-defense จะขอเน้นที่ “การป้องกันตัว” เป็นหลัก เราไม่สนับสนุนให้ใช้ความรู้เหล่านี้เพื่อนำไปคุกคามผู้อื่น

สิ่งแรกที่เราต้องทำเมื่อเผชิญเหตุร้าย คือ การตั้ง “สติ” หลังจากนั้นให้ประเมินสถานการณ์ ถ้าคนร้ายมุ่งหวังเพียงทรัพย์สินของเราหากไม่ใช่สิ่งที่มีค่ามากมายอะไรนักก็อย่าไปเสียดาย ไม่ควรเอาชีวิตและร่างกายไปเสี่ยง แต่หากคนร้ายมุ่งหวังเอาชีวิตหรือทำร้ายร่างกายของเราก็คงต้อง “ทำทุกวิถีทาง” เพื่อให้รอดชีวิต คิดหาวิธีเอาตัวรอด มองหาความช่วยเหลือทั้งจากคนรอบข้างและสิ่งของรอบตัว

การป้องกันตัวไม่ได้หมายความเพียงแค่การใช้กำลังเข้าแก้ไขสถานการณ์อย่างเดียว การพูดจากับคนร้ายอย่างเหมาะสม การเจรจาต่อรอง หรือแม้แต่การอยู่นิ่งๆอย่างสงบในหลายกรณีก็ช่วยได้มาก และหากเรามีทักษะอย่างอื่นเพิ่มเติม เช่น การป้องกันตัวด้วยมือเปล่า การใช้อาวุธมีด การใช้อาวุธปืน การใช้กระบองสั้น หรือเรามีอุปกรณ์อย่างอื่น เช่น สเปรย์พริกไทย ไฟฉาย ปากกา ร่ม หรือแม้แต่หนังสือและรู้วิธีการใช้อย่างเหมาะสม ทำให้เรามีทางเลือกมากขึ้นที่จะใช้ทักษะหรืออุปกรณ์เหล่านั้นเพื่อแก้ไขสถานการณ์ซึ่งกำลังเผชิญอยู่

การป้องกันตัวด้วยมือเปล่าถือเป็นพื้นฐานสำคัญ เพราะมือและเท้าเป็นอวัยวะที่อยู่กับเราตลอด หากเรียนรู้การใช้อวัยวะของตัวเราเองให้เกิดประโยชน์ในการป้องกันตัวอย่างดีแล้วก็จะสามารถเอาตัวรอดในสถานการณ์ส่วนใหญ่ได้ การใช้อุปกรณ์อื่นช่วย เช่น มีด ปืน นั้นจำเป็นที่เราจะต้องพกหรือมีอาวุธเหล่านั้นอยู่กับตัวหรือใกล้ตัว จึงควรให้ความสำคัญในลำดับรองลงไป

การเรียนรู้การใช้อาวุธเพื่อป้องกันตนเองนั้นนอกจากจะทำให้เรามีทางเลือกในการเอาตัวรอดมากขึ้น เรายังรู้ถึงข้อจำกัดของอาวุธแต่ละอย่างด้วย และเราสามารถดูออกว่าผู้ที่ถืออาวุธนั้นได้ผ่านการฝึกมาหรือไม่จะได้ไม่กลัวจนเกินเหตุ

ในกรณีของอาวุธปืนนั้นขอให้ใช้เฉพาะในการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินที่ “บ้าน” เป็นหลัก หรือใช้ในกรณีที่เราต้องเดินทางไปในสถานที่ที่อันตรายหรืออาจเกิดอันตรายโดยไม่อาจเลี่ยงที่จะไปได้ และผู้ที่ใช้อาวุธปืนควรเป็นผู้ซึ่งได้รับการฝึกฝนการใช้อาวุธปืนมาอย่างเหมาะสมและต้องมีความรับผิดชอบสูง มิเช่นนั้นหากใช้อาวุธปืนไปในทางที่ผิดจะเกิดความเสียหายอย่างมาก

ศิลปะการต่อสู้ด้วยมือเปล่านั้นมีหลายชนิด อาทิเช่น มวยไทย วูซู ของจีน ยูโด (Judo) จูจิทสู (Jujitsu) ไอคิโด (Aikido) เทควันโด (Taekwondo) ฮับกิโด (Hapkido) คาราเต้ (Karate) นินจิทสู (Ninjitsu) คร๊าฟ มากา (Krav Maga) ของอิสราเอล สิสเต็มมา (Systema) และแซมโบ (Sambo) ของรัสเซีย คาโปเอล่า (Capoiera) ซาวาจ (Savate) ของฝรั่งเศส การต่อสู้แบบผสมผสาน (Mixed martial art, MMA) การเลือกเรียนศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวนั้น สิ่งแรกที่เราจะต้องถามตัวเองก่อนก็คือ ต้องการเรียนเพื่อวัตถุประสงค์อะไร เรียนเพื่อการกีฬา เพื่อป้องกันตัวเองหรือทั้งสองอย่าง

ในวิชาการต่อสู้เหล่านี้เมื่อถูกนำมาเป็นกีฬาจำเป็นต้องลดทอนความรุนแรงลงเพื่อความปลอดภัยของนักกีฬา และต้องทำการฝึกฝนนานหลายปีกว่าจะชำนาญ ในบางสถานการณ์การเรียนรู้การต่อสู้ในเชิงกีฬาอาจไม่สามารถช่วยแก้ไขสถานการณ์ได้ (เนื่องจากถูกตัดทอนออกไปจากกระบวนการฝึก)

ถ้าต้องการเรียนเพื่อเป็นนักกีฬาก็จำเป็นต้องฝึกฝนในวิชาการต่อสู้นั้นๆอย่างจริงจังซึ่งมักใช้เวลาหลายปี แต่หากต้องการฝึกเพียงเพื่อป้องกันตัวเองการเข้าเรียนการต่อสู้เหล่านี้ก็อาจต้องใช้เวลานานเกินไปกว่าจะสามารถมีทักษะมากพอที่จะเอาตัวรอดได้จากสถานการณ์ส่วนใหญ่ และทักษะบางอย่างอาจไม่จำเป็นสำหรับการนำมาใช้เพื่อป้องกันตัว

การเรียนรู้การป้องกันตัวเองแบบผสมผสานน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับประชาชนทั่วไป เนื่องจากเรียนรู้เฉพาะทักษะที่จำเป็นในการเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่เลวร้าย เช่น การถูกฉุดกระชาก การถูกจี้ด้วยมีด การถูกจี้ด้วยปืน การถูกตีด้วยไม้ ซึ่งเป็นภัยคุกคามที่พบบ่อย เรียนรู้จุดอ่อนและข้อจำกัดของร่างกาย เรียนรู้การใช้ความได้เปรียบทางสรีระ เรียนรู้การใช้วัสดุอุปกรณ์รอบกายมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ซึ่งทักษะการเอาตัวรอดจากสถานการณ์เหล่านี้สามารถช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้

หลักของการป้องกันตัวไม่ว่าจะใช้อาวุธหรือมือเปล่าก็คือ “อย่าคิดว่าเป็นกีฬา” เพราะในสถานการณ์จริงนั้นเราต้องทำทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอด ดังนั้นไม่มีคำว่า “ผิดกติกา” นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งซึ่งหากเราฝึกเพื่อการกีฬาเราจะถูกสอนให้ห้ามทำบางอย่างซึ่งอาจผิดกติกาเมื่อใช้ในการแข่งขัน แต่อาจมีประโยชน์ในสถานการณ์ที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน

การจะได้มาซึ่งคำว่า ผู้มี “ทักษะ” นั้นจำเป็นต้องมีการฝึกฝนบ่อยๆ มากน้อยก็ขึ้นอยู่กับความยากง่ายของสิ่งที่เรียนรู้และความสามารถเฉพาะตัว ในสถานการณ์หนึ่งๆนั้นการป้องกันตัวอาจมีได้หลายรูปแบบเราควรเลือกวิธีที่เรียบง่าย (ง่ายทั้งการจดจำและการกระทำ) ตามหลักที่ว่า Simple is good หรือ S.I.G. principle

Thai Tactical Shooting Club (TAS) มีหลักสูตรสอนการเอาตัวรอดในสถานการณ์วิกฤติให้กับองค์กรที่สนใจ (เรียน 1 วัน รับผู้รับการฝึกอบรมประมาณ 20 ถึง 30 ท่าน) เรียกว่า TAS Defensive Course โดยคณะครูฝึกที่มีความชำนาญ และได้สอดแทรกทักษะนี้ให้กับผู้รับการฝึกยิงปืนในระดับเบื้องต้น (TAS force 1) ด้วย

Easy Defense Club เป็นอีกชมรมหนึ่งซึ่งสอนการเอาตัวรอดให้กับประชาชนทั่วไปเกี่ยวกับการป้องกันตัวด้วยมือเปล่า การใช้อาวุธมีด และอื่นๆ ผู้รับการฝึกสามารถนำความรู้เหล่านี้ไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ได้

เรียบเรียงโดย Batman
 

Samsung LCD televisions